อีกหนึ่งเหตุการณ์ ที่ผู้ใช้รถส่วนใหญ่ต่างพบเจอ นั่นก็คือ "รถยางรั่ว" ไม่ว่าจะเป็นยางใหม่ หรือยางเก่า ก็มีโอกาสรั่วได้หมด และคำถามที่ตามมาหลังจากยางรั่ว ก็คือ ควรปะแบบไหนดี
ยางรั่ว ปะแบบไหนดี
ก่อนอื่นต้องดูที่ความเสียหายของยางก่อนครับ ว่าเสียหายที่จุดไหน หากเป็นที่แก้มยาง บอกได้เลยว่าปะยังไงก็ไม่อยู่ครับ ต้องเปลี่ยนยางใหม่เท่านั้น ถึงจะปลอดภัย เพราะแก้มยางเป็นส่วนโครงสร้างที่รับน้ำหนักทั้งหมดของรถ ในขณะที่รถวิ่งแก้มยางจะต้องรับแรงกระแทกอยู่ตลอดเวลา
แต่ถ้าเป็นที่หน้ายาง ยังพอมีโอกาสปะได้อยู่ครับ ถ้ารอยรั่ว หรือรอยฉีกนั้นไม่มากจนเกินไป ซึ่งในการปะ หลักๆก็มีอยู่ 2 แบบครับ คือ ปะสตรีม กับแทงไหม (ตัวหนอน)
ปะสตรีม
ใช้ในกรณีที่ยางโดนตะปูตำ น๊อตตำ เหล็กหรือเศษแก้วบาด แผลไม่ได้ใหญ่มาก โดยการทำต้องถอดยางออกมาเพื่อปะที่ด้านใน ซึ่งการปะแบบสตรีมแยกย่อยออกมาอีก 2 แบบ คือ สตรีมเย็น และ สตรีมร้อน
สตรีมเย็น
เป็นการใช้แผ่นยางแปะทับรอยรั่วจากทางด้านใน วิธีการคือ เจียรเนื้อยางด้านในโดยรอบเพื่อให้มีความสะอาดและสากเล็กน้อย ก่อนที่จะทากาว รอให้แห้งหมาดๆ และใช้เนื้อยางพิเศษที่ใช้สำหรับปะ แปะทับรอยรั่ว จากนั้นก็รีดเพื่อให้ยางแนบแน่น ก่อนที่จะเอายางใส่เข้าล้อและเติมลมเป็นอันเสร็จพิธี
สตรีมร้อน
วิธีการทำคล้ายกับการปะแบบสตรีมเย็นครับ แต่ต่างกันที่ใช้ความร้อนเพื่อให้ชิ้นยางที่นำมาแปะทับแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกัน
ข้อดีคือ คงทน สามารถใช้งานต่อได้ในระยะยาว
ข้อเสีย สำหรับการสตรีมร้อนอาจทำให้ยางตรงจุดนั้นเกิดการบวมได้
ปะแบบแทงไหม (ตัวหนอน)
เป็นวิธีที่ง่าย และ ประหยัดที่สุด สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องถอดล้อ เป็นการใช้แท่งไหมที่มีส่วนผสมของกาว แทงคาไว้ที่รูรั่ว ใช้ในกรณีที่ยางโดนตะปูตำ น๊อตตำ หรือบาดแผลที่มีขนาดเล็ก ไม่มีรอยฉีกยาว
วิธีการทำ ดึงตะปูที่ตำยางออก จากนั้นก็คว้านรูรั่วของยางให้มีขนาดพอเหมาะ พอที่จะสามารถใช้แท่งไหมแทงเข้าไปได้ แล้วตัดแต่งให้เรียบเนียนกับหน้ายาง
ข้อดีคือ ปะได้ง่ายและรวดเร็ว เพราะไม่ต้องถอดยาง สามารถทำได้เอง ราคาถูก ไม่เกิน 100 บาท
ข้อเสียคือ หากรูรั่วมีขนาดที่ใหญ่กว่าแท่งไหม จะไม่สามารถปะได้ และไม่เหมาะกับรถที่มีน้ำหนักมากๆ เช่น รถบรรทุกของ ,รถ 10ล้อ เพราะด้วยน้ำหนักที่กดลงพื้น อาจทำให้ลมยางรั่วออกมา
สุดท้ายนี้ ก็อยู่ที่ตัวท่านครับ ว่าจะเลือกแบบไหน ลองเปรียบเทียบดูครับ เพราะมีทั้งข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกันไป
ปะยางแบบ สตรีม กับ แทงไหม ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดี!!ปะยางแบบ สตรีม กับ แทงไหม ต่างกันอย่างไร เชื่อว่าหลายคนมือใหม่ที่ใช้รถยนต์อาจจะเจอเหตุการณ์ ยางรั่ว หรือ ยางแตก กันมาบ้างแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นยางเก่าหรือยางใหม่ นั้นก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้วสำหรับมือใหม่นั้นก็มักจะมีคำถามขึ้นว่าเราควร ปะยาง แบบไหนดี จะปะยางแบบ สตรีม กับ แทงไหม แล้วมีกี่แบบนะ แล้วถ้าปะไปแล้วสมรรถนะของยางจะยังคงดีเหมือนเดิมเหมือนเก่าที่มากับรถหรือไม่ วันนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมๆกันเลยครับ
โดยทั่วไปแล้วการปะยางที่เราพบเห็นหรือเปิดให้บริการกันนั้นแบ่งแยกตามมาตรฐานได้ 2 แบบ คือ การปะแบบ ‘สตีม’ และการปะแบบสอดไส้หรือ ‘แทงไหม’ ซึ่งส่วนใหญ่หากผู้ให้บริการมีกรรมวิธีแบบไหน ก็มักจะแนะนำการปะแบบนั้นให้กับลูกค้า ซึ่งบางครั้งทางร้านที่ให้บริการก็ต้องประเมินหรือดูจากแผลความเสียหายของยางด้วยว่าการปะแบบใดจึงเหมาะสม ซึ่งเราจะไปดูกันว่าทั้ง 2 แบบก็มีกรรมวิธีและขั้นตอนที่แตกต่างกันไปอย่างไรบ้าง
แบบที่1 การปะยางแบบสตีม
การปะแบบสตีม คือ การ ปะยาง แบบดั้งเดิมที่สามารถใช้กับรถทุกชนิด ตั้งแต่รถจักรยานไปจนถึงรถบรรทุก โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบ
- สตีมร้อน ส่วนใหญ่ใช้กับรถมอเตอร์ไซค์ ไปจนถึงรถบรรทุกสิบล้อ โดยจะใช้ยางชนิดพิเศษ โดยผ่านการหลอมด้วยความร้อน จากนั้นนำไปประกบกับรอยที่ ยางรั่ว หรือรอยแผลบนตัว ยางรถยนต์ และใช้เครื่องมือในการกดเพื่อประสานแผ่นยาง กับ ยางรถยนต์ ซึ่งรอย ยางรั่ว หรือบาดแผลจะแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันกับยาง และยังสามารถรับน้ำหนักได้เท่ากับยางปกติ จากทิ้งไว้สักพักก็สามารถใช้งานได้ปกติ แต่ข้อเสียของงการสตีมร้อนก็มีโอกาสที่ความร้อนจะทำให้โครงสร้างของ ยางรถยนต์ เสียรูปทรง และอาจทำให้ ยางรถยนต์ บวมได้
ข้อดี คือ เป็นการปะยางรถยนต์ทำให้รอยรั่วโดนปิดได้สนิทที่สุดข้อเสีย คือ เนื่องจากการใช้ความร้อนอาจทำให้ยางรถยนต์เส้นนั้นเสียทรงได้ - สตีมเย็น โดยส่วนมากจะใช้กับรถจักรยาน เพราะการปะแบบนี้จะทำให้ ยางรถยนต์ ทนต่อความร้อนได้ต่ำ และไม่ทำให้ยางเสียรูปทรง โดยใช้ยางอีกแผ่นหนึ่งมาทำหน้าที่อุดรูรั่ว โดยปกติจะใช้ยางในรถที่ถูกทิ้ง หรือยางที่ไม่ใช้งานแล้ว มาทำการประสานเข้าไปกับยางที่มีรอยรั่วซึม จากนั้นก็รอให้แห้งเป็นอันเสร็จ
ข้อดี คือ ยางรถยนต์ไม่เสียทรงจากความร้อนข้อเสีย คือ ต้องระวังในการบรรทุกน้ำหนัก
- สตีมร้อน ส่วนใหญ่ใช้กับรถมอเตอร์ไซค์ ไปจนถึงรถบรรทุกสิบล้อ โดยจะใช้ยางชนิดพิเศษ โดยผ่านการหลอมด้วยความร้อน จากนั้นนำไปประกบกับรอยที่ ยางรั่ว หรือรอยแผลบนตัว ยางรถยนต์ และใช้เครื่องมือในการกดเพื่อประสานแผ่นยาง กับ ยางรถยนต์ ซึ่งรอย ยางรั่ว หรือบาดแผลจะแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันกับยาง และยังสามารถรับน้ำหนักได้เท่ากับยางปกติ จากทิ้งไว้สักพักก็สามารถใช้งานได้ปกติ แต่ข้อเสียของงการสตีมร้อนก็มีโอกาสที่ความร้อนจะทำให้โครงสร้างของ ยางรถยนต์ เสียรูปทรง และอาจทำให้ ยางรถยนต์ บวมได้
สำหรับราคาการปะยางแบบสตีมนั้น เหมาะสำหรับการปะเพื่อซ่อมรอยตำจากตะปู หรือรอยขาดแบบฉีกแบนที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก มีความคงทนใกล้เคียงกับยางแบบเดิมๆ และยังรับแรงอัดได้ดี ส่วนข้อข้อเสียคือใช้เวลาในการปะนานเพราะต้องถอดยางออกจากล้อ ที่สำคัญต้องถ่วงล้อใหม่หลังจากปะเสร็จ หากยางมีความร้อนสูงเป็นเวลานาน ก็อาจมีความเสี่ยงที่ทำให้ชุดปะยางหลุดร่อนออกจากเนื้อยางได้ เพราะไม่ได้หลอมเป็นชิ้นเดียวกัน ค่าบริการต่อแผลประมาณ 150-300 บาท
แบบที่2 การปะยางแบบแทงไหม หรือตัวหนอน
แบบแทงไหม หรือตัวหนอน จะใช้เฉพาะกับรอย ยางรั่ว หรือบางแผลที่มีขนาดเล็กที่เกิดจากตะปู เกลียวปล่อย หรือน็อตขนาดที่ไม่ใหญ่ โดยช่างจะดึงตะปูที่แทงยางออกมา จากนั้นใช้ตะไบปลายแหลมแทงเข้าไปเพื่อทำความสะอาดบางแผลก่อนแทงไหมที่มีส่วนผสมระหว่างใยสังเคราะห์ยางดิบ กับกาวลงไป ซึ่งวิธีนี้ใช้เวลาในการทำเร็วที่สุด โดยไม่ต้องถอด ยางรถยนต์ ออกมาจากกระทะล้อ และไม่ต้องถอดกระทะล้อออกจากรถให้ยุ่งยาก แต่ข้อเสียของการสอดใส้นั้นคือ ไม่ทนต่อความร้อนเหมือนกับการสตีมร้อน และวิธีนี้ไม่เหมาะกับรถที่ต้องใช้ความเร็วสูง และบรรทุกสัมภาระที่หนัก
โดยข้อดีของการปะแบบนี้คือ ไม่ต้องถอดยางออกจากล้อแม็ก และยังทำงานได้รวดเร็วด้วยเวลาไม่เกิน 3 นาที ซึ่งเป็นการซ่อมปากแผลเพื่อป้องกันลมออก อีกทั้งยังป้องกันไม่ให้น้ำเข้ายางทางดอกยางได้ แต่อาจมีอาการลมยางซึมออกบ้าง ค่าบริการต่อแผลประมาณ 70-100 บาท
จากที่กล่าวมาทั้งสองแบบนั้นก็จะมีข้อมดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป ส่วนจะให้บอกว่าแบบไหนดีกว่ากันนั้น ถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็วและไม่อยากเสียเงินถ่วงล้อใหม่ ก็แนะนำให้ใช้การปะด้วยวิธีการแทงตัวหนอนหรือแทงใยไหมครับ ซึ่งบางท่านก็อาจแนะนำว่าแทงตัวหนอนไม่ทนทานเท่ากับการสตรีม ขณะที่วิธีการปะยางด้วยสตรีมแม้ปะแล้วดูแน่นหนาและคงทนกว่า แต่คุณอาจต้องเสียเวลาและเสียเงินมากกว่าเท่านั้นเองครับ