IoT เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเกิดเป็น Smart Factory หรือ Smart Business และช่วยเสริมให้เกิดข้อดีหลาย ๆ อย่าง เช่นสร้างกำไร, ลดต้นทุน, เพิ่มรายได้และขยายกิจการ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผลประกอบการดีขึ้น มีหน้างบการเงินที่สวย (โดยไม่ต้องตกแต่งตัวเลข) เป็นที่น่าจับตามองของนักลงทุนหรือ Partner ต่าง ๆ ที่จะเข้ามาสนับสนุนธุรกิจของคุณ
แน่นอนว่าทุกวันนี้ เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน ยานพาหนะ หรือแม้กระทั่งเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านของเราเอง ที่มีการพัฒนาให้ฉลาดและอำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้มากขึ้น ถ้าในอนาคตเราสามารถควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านมือถือ หรือให้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ทำงานเองได้อัตโนมัติ มันจะดีแค่ไหน ?
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับ “IoT” (Internet of Things) กันก่อน จริง ๆ IoT มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “M2M” ย่อมาจาก Machine to Machine คือเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่ออุปกรณ์กับเครื่องมือต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน IoT เราสามารถแปลความหมายได้ตรง ๆ เลยว่า “อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง” ตรงตัวเลยครับ มันคือการที่เราสามารถนำอินเทอร์เน็ตมาเชื่อมต่อกับทุกสิ่งในชีวิตเรา อย่างเช่น นาฬิกา เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตของเราเพิ่มมากขึ้น และมาดูกันดีกว่าว่ามันทำงานยังไง ?
หลักการทำงานของมันหลัก ๆ เลยก็คือ “Internet” ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางเพื่อให้อุปกรณ์สองชนิดเข้าใจกัน และส่งผ่านข้อมูลกันได้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
แบ่งกลุ่ม Internet of Things
ปัจจุบันมีการแบ่งกลุ่ม Internet of Things ออกตามตลาดการใช้งานเป็น 2 กลุ่มได้แก่
- Commercial IoT
คือแบ่งจาก local network ที่มีหลายเทคโนโลยีที่แตกต่างกันในโครงข่าย Sensor nodes โดยตัวอุปกรณ์ IoT Device ในกลุ่มนี้จะเชื่อมต่อแบบ IP network เพื่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ต - Industrial IoT
คือแบ่งจาก local communication ที่เป็น Bluetooth หรือ Ethernet (wired or wireless) โดยตัวอุปกรณ์ IoT Device ในกลุ่มนี้จะสื่อสารภายในกลุ่ม Sensor nodes เดียวกันเท่านั้นหรือเป็นแบบ local devices เพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้เชื่อมสู่อินเทอร์เน็ต
แนวคิดเรื่อง IoT (Internet of Things)
จริง ๆ แล้วแนวคิดนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 เดิมทีแนวคิดนี้เริ่มมาจาก บิดาแห่ง Internet of Things นั้นคือ Kevin Ashton ในตอนที่เขาได้ทำงานวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า MIT เขานั้นได้ถูกเชิญให้ไปบรรยายเรื่องนี้ให้กับบริษัท Procter & Gamble (P&G) เป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภค ซึ่งเขาได้นำเสนอโครงการที่มีชื่อว่า Auto-ID Center ซึ่งเป็นโครงการที่มีเทคโนโลยีต่อยอดมาจาก Radio frequency identification (RFID) เป็นเทคโนโลยีที่ระบุสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยคลื่นวิทยุ ที่ในตอนนั้นเทคโนโลยีนี้นับเป็นมาตรฐานของโลกเลยก็ว่าได้ สำหรับการจับเซนเซอร์ต่าง ๆ (RFID Sensors) ซึ่งเขาบอกว่า เขาสามารถทำให้ตัวเซนเซอร์เหล่านี้พูดคุย และเชื่อมต่อกันผ่านระบบ Auto-ID ของเขาได้ โดยการบรรยายให้กับ P&G ครั้งนั้น Kevin ได้พูดถึง Internet of Things ในสไลด์การบรรยายของเขาในครั้งแรก แต่ในตอนนั้น Kevin ได้นิยามเอาไว้ว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ ก็ตาม ที่สามารถสื่อสารกันได้ถือเป็น Internet-like ทั้งหมดหรือง่าย ๆ คือ เชื่อมต่อสื่อสารกันผ่านระบบสื่อสารแบบเดียวกันกับระบบอินเทอร์เน็ตนั้นเอง โดยคำว่า Things คำสุดท้าย ก็คือคำใช้แทนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้นนั่นเอง
ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการเชื่อมต่อ Internet of Things
มีอยู่ 3 ตัวได้แก่
• Bluetooth 4.0
• IEEE 802.15.4e
• WLAN IEEE 802.11™ (Wi-Fi) มาตรฐานการทำงานของระบบเครือข่ายไร้สาย
สิ่งสำคัญสำหรับ Internet of Things คือ IPv6
เพราะแต่ละอุปกรณ์ หรือ Device เอง การเชื่อมต่อต้องมีที่อยู่เฉพาะตัวเหมือนเลขที่บ้านเวลาเราจะส่งของ อุปกรณ์ก็ต้องการเหมือนกัน ดังนั้นแต่ละอุปกรณ์จะมีเลขของตัวเองเพื่อเชื่อมต่อในระหว่างกัน โดยจำเป็นจะต้องใช้ IP Address version 6 หรือ IPv6 มาเพื่อกำกับหมายเลขให้ไม่ซ้ำกัน ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญของ Internet of Things
Internet of Things ในปัจจุบัน
จริง ๆ แล้วมีอย่างหนึ่งที่บางคนอาจจะคิดไม่ถึงคือ Cloud Storage หรือเรียกว่าบริการฝากไฟล์และประมวลผลข้อมูลผ่านโลกออนไลน์ หรือบางคนอาจจะเรียกว่า ข้อมูลบนก้อนเมฆก็ได้ ถ้าให้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็จะมีหลายเจ้าที่เปิดให้บริการอย่าง Google Drive, Mega, Dropbox คุณอาจจะพอนึกภาพออกแล้ว ซึ่งสมัยนี้คนนิยมใช้กันมากขึ้น เพราะว่ามันสะดวกมาก ๆ และไม่ต้องกลัวข้อมูลสูญหาย หรือถูกโจรกรรม และยังสามารถกำหนดให้เป็นแบบส่วนตัวหรือสาธารณะก็ได้ และคุณสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไหนก็ได้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และมีพื้นที่ใช้สอยมาก แต่ถ้าคุณต้องการมากกว่านี้ คุณสามารถเสียเงินเป็นรายปีได้ และไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลมากมาย อย่าง Hard Drive หรือ Flash Drive ต่าง ๆ อีก ซึ่งสิ่งจำพวกนี้ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ Internet of Things จริง ๆ แล้วมันใกล้ตัวคุณกว่าที่คิดมาก ๆ เลย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้พวกนี้ จะเรียกว่าคุณคือผู้ใช้ส่วนหนึ่งของมันก็ว่าได้
Cloud storage คือการเก็บข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
ถ้าให้ยกตัวอย่าง Internet of Things ให้เข้าใจง่ายมากขึ้น และคนหลายคนรู้จักก็คงจะเป็น “Google’ s — Driverless Cars” หรือรถไร้คนขับของกูเกิลนั่นเอง รถนี้จะตรวจจับสัญญาณเซนเซอร์รอบคัน เพื่อวิเคราะห์ว่ามีรถใกล้ ๆ หรือไม่ เพื่อกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นหรือเลนไหนถึงจะถูกต้องในการขับขี่ประเทศนั้น ๆ เพราะแต่ละประเทศมีกฎจราจรการขับขี่ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ยังมีความสามารถเพิ่มเข้ามาอีก คือการวิเคราะห์การจราจร ว่าถ้าถนนเส้นนี้ติดขัด จะแสดงผลบอกให้รถอีกคันรู้ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ ซึ่งในอนาคตรถยนต์ไร้คนขับพร้อมให้บริการเป็นรถโดยสาร ซึ่งสามารถใช้แอปพลิเคชันเรียกรถยนต์ไร้คนขับเพื่อไปส่งในสถานที่ที่ต้องการได้
แต่ถ้าคุณรู้สึกว่ารถไร้คนขับมันไกลตัวมากไป ลองคิดว่าถ้าในห้องนอนของเรามีกล้อง ที่ตรวจจับ เมื่อเราตื่นกล้องจะจับสัญญาณเรา และส่งสัญญาณไปให้กาต้มน้ำร้อนเปิดการทำงานเองโดยอัตโนมัติ เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินไปกดเองเลย และไม่ต้องเสียเวลาในช่วงเช้าไปกับการรอน้ำเดือด 2–3 นาที ประหยัดเวลาในช่วงเช้าที่แสนเร่งรีบของคุณได้ ฟังอย่างนี้มันอาจจะดูดีใช่ไหมล่ะครับ ?
อย่างที่อ่านมา สงสัยกันไหมครับว่า ทำไมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เราสามารถตรวจจับว่าเราตื่นได้ยังไง จริง ๆ ปัจจัยสำคัญของ Internet of Things นอกจาก Internet แล้วยังมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ คือถ้าไม่มีสิ่งนี้ มันก็จะทำงานไม่ได้เลย นั่นคือ Sensor node นั่นเอง ซึ่งหากนำ Sensor node หลาย ๆ ตัวมาประกอบกันจะทำให้เกิด Wireless sensor network (WSN) ให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ามาได้ ซึ่งตัว WSNs นี่เองสามารถตรวจจับปรากฏการณ์ หรือปฏิกิริยาต่าง ๆ (physical phenomena) ในเครือข่ายได้ด้วยยกตัวอย่าง เช่น แสง อุณหภูมิ ความดัน เป็นต้น เพื่อส่งค่าที่อ่านได้ไปยังอุปกรณ์ในระบบให้ทำงาน หรือสั่งงานอื่น ๆ ต่อไป
แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง การที่ทุกอย่างในบ้านของเราถูกเชื่อมต่อโดยอินเทอร์เน็ตมันก็น่ากลัวไปอีกแบบนะครับ อย่างเช่น เกิดวันไหนระบบล่ม เราก็จะไม่สามารถใช้งานสิ่งนั้นได้เต็มประสิทธิภาพได้ และราคาของสินค้าที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เพราะแน่นอนล่ะว่าอุปกรณ์ที่จะสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นได้มักมีราคาสูงกว่าปกติเสมอ และการที่ข้อมูลการใช้ชีวิตประจำวันเราถูกบันทึกแล้ว ถ้าหากวันหนึ่ง มันโดนขโมยไปโดยผู้ไม่หวังดีล่ะ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นคือ.. ความเคยชิน ของเรานั่นเองครับ ถ้าสมมุติเราใช้งานสิ่งของเหล่านี้จนชินมาก ๆ แล้วเกิดมีปัญหาด้านใดด้านหนึ่งทำให้ใช้งานไม่ได้ เราคงจัดการเวลาตัวเองได้แย่ลงมาก ๆ เลยล่ะครับ นั่นล่ะครับ สิ่งที่ทำให้เราได้คิดว่ามันดีจริง ๆ หรือเปล่า ? แต่อย่าพึ่งคิดว่ามันแย่เสมอไปนะครับ
ซึ่งในไทยตอนนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ใช้กันคือ NB-IoT (Narrowband Internet of Things) หรือก็คือการเชื่อมต่อผ่านสัญญาณโทรศัพท์ สิ่งจำเป็นต้องมีในการใช้งานคือ SIM CARD 1 ใบ ก็เพียงพอ ส่วนหลักการทำงานเหมือน IoT ทั่วไปเลยครับ คือการรับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องมือสองอย่าง
ตัวอย่างของ NB-IoT ที่มีให้เห็นก็คือ โครงการ AIS จับมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อสร้างนวัตกรรมสนับสนุนสมาร์ทซิตี้ที่ช่วยเรื่องด้านสุขภาพ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านคมนาคม และความเป็นอยู่ต่าง ๆ เพื่อสังคมที่อยู่อย่างยั่งยืน และล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2018 ได้ร่วมกันเปิดตัวระบบลานจอดรถอัจฉริยะ (KKU Smart Parking System) เพื่อให้บริการกับ นักศึกษา อาจารย์ และบุคลากรในมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อตอกย้ำความสำเร็จ ว่านวัตกรรมนี้สามารถใช้ได้ในชีวิตจริง ซึ่งเราสามารถนำเครื่องใส่ซิมแล้วฝังไว้ใต้ที่จอดรถ ไม่จำเป็นต้องโยงสายระโยงระยางทั่วถนน ทำให้เราสามารถรู้ว่า ที่จอดรถตรงนั้นว่างไหม และแสดงบนจอภาพของโรงจอดรถ หรือเมื่อมีเครื่องไหนพัง เราสามารถรู้ได้เลยไม่จำเป็นต้องไปตรวจสอบให้เสียเวลา และแสดงผลออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ ทำให้ทราบพิกัดจุดจอดรถที่ให้บริการที่มีสถานะว่างอยู่ ซึ่งสถานะว่างจะเป็นสีเขียว ถ้าไม่ว่างจะขึ้นสีแดง ยังมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ใช้ NB-IoT ในการพัฒนาด้านต่างๆอยู่ด้วย
รูปภาพจาก : Techsauce Team
ข้อดีของ NB-IoT ก็คือ
1. ประหยัดพลังงาน
2. อายุการใช้งานถึง 10 ปี
3. กระจายสัญญาณได้ 10 กิโลเมตร
4. สามารถใช้ในตัวตึกได้ดี
ซึ่งบริษัทเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ที่ให้บริการมีแค่ 2 เจ้าคือ True และ AIS เท่านั่นเองครับ
พออ่านมาถึงตรงนี้แล้วเทคโนโลยีนี้มันไม่ได้ไกลตัวเราเท่าไหร่เลย และจริง ๆ ในบ้านเราก็ใช้งานมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว อีกทั้งยังมีเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์เปิดให้บริการอีกด้วย ในอนาคตอันใกล้เราอาจจะได้ใช้งานมันง่าย ๆ อาจจะเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก ๆ เลย หรือตอนนี้คุณอาจจะกำลังถือเครื่องมือที่ใช้ IoT อยู่ก็ได้ การเตรียมพร้อมเพื่อรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาอาจจะทำให้ชีวิตคุณสะดวกมากขึ้นก็ได้นะครับ บางทีสิ่งใหม่มันอาจจะไม่ได้แย่เสมอไปขอแค่คุณลองเปิดใจรับมันดู มันน่าตื่นเต้นดีออก
สุดท้ายแล้ว IoT (Internet of Things) ก็คือเครือข่ายไร้สาย ที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์หนึ่งไปยังอุปกรณ์หนึ่ง เพื่อส่งข้อมูล และสะดวกต่อการใช้งาน
ข้อดี
1.สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย
2.เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาได้เรื่อย ๆ
3.สามารถเก็บข้อมูลประจำวันของเราไว้ใช้ในอนาคตได้
ข้อเสีย
1.อาจจะมีความเสี่ยงสูง เพราะว่ายังอยู่บนระบบอินเทอร์เน็ต
2.อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อได้ อาจจะมีราคาสูงกว่าอุปกรณ์ทั่วไป
3.อุปกรณ์เชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต เมื่ออินเทอร์เน็ตใช้ไม่ได้อาจจะเกิดปัญหา
และอย่างที่รู้ ๆ กันครับว่า ขอบเขตอินเทอร์เน็ตไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้นเราสามารถพัฒนาได้เรื่อย ๆ แม้ว่าในตอนนี้อาจจะยังไม่น่าสนใจ แต่อนาคตเราอาจจะเป็นผู้ใช้ส่วนหนึ่งของ IoT (Internet of Things) ก็ได้ และยิ่งเราสามารถใช้นวัตกรรมพวกนี้ได้ดีมากขึ้นเท่าไหร่ หรือเป็นที่นิยมมากขึ้นเท่าไหร่ ครในอนาคตก็ต้องมีการพัฒนาเพื่อให้มีคนใช้มากขึ้น และก็ต้องเกิดธุรกิจอีกมากมายหลายอย่าง และเกิดการแข่งขันทางธุรกิจขึ้น ซึ่งเราคือบุคคลที่ได้ประโยชน์มากที่สุดนั้นเอง ซึ่ง IoT มีผลกระทบต่อชีวิตผู้คนทั่วโลก และเริ่มเป็นที่นิยมตั้งแต่ปี 2018