นอกเหนือจากขนาดห้องต่างๆที่ยกตัวอย่างในข้างต้น คุณเองก็สามารถคำนวนขนาดแอร์ BTU ได้ด้วยตัวเองได้ด้วยวิธีง่ายๆดังต่อไปนี้
พื้นที่ห้อง(ตร.ม.) x ตัวแปรที่ทำให้เกิดความร้อน =?
ผลลัพธ์ได้เท่าไหร่ นั่นคือขนาดBTU ของแอร์ที่ควรเลือกซื้อนั่นเอง
ตัวแปรที่ทำให้เกิดความร้อนมีค่าเท่าไหร่?
ตัวแปรที่ทำให้เกิดความร้อนมีค่าดังต่อไปนี้
- 700
ตัวแปรที่ทำให้เกิดความร้อนสำหรับห้องที่ไม่ค่อยโดนแดดจะมีค่าเท่ากับ 700
- 800
ตัวแปรที่ทำให้เกิดความร้อนสำหรับห้องที่โดนแดดปานกลางจะมีค่าเท่ากับ 800
- 1,000
ตัวแปรที่ทำให้เกิดความร้อนสำหรับห้องที่โดนแดดปานกลางจะมีค่าเท่ากับ 1,000
หลังจากการเลือกเครื่องปรับอากาศได้ตามขนาดBTUที่เหมาะสมกับห้องต่างๆที่ต้องการจะติดตั้งไม่ว่าจะเป็นห้องนอน หรือห้องทำงานคุณผู้ใช้ทุกคนก็อย่าลืมดูแลบำรุงรักษาแอร์ที่ซื้อมาเพื่อการใช้งานที่ยั่งยืนอยู่เสมอ
เรามาลองดูวิธีการดูแลรักษาแอร์ด้วยตัวเองง่ายๆไม่ต้องจ้างช่างกันดีกว่า
3 วิธีดูแลรักษาแอร์ในทุกขนาดBTU
- ผู้ใช้แอร์ไม่ว่าจะกี่BTUก็ตามควรตั้งค่าอุณภูมิให้เหมาะสม โดยอุณภูมิที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 25-26 องศาเซียลเซียส
- ชุดระบายความร้อนของแอร์ที่ติดตั้งอยู่ภายนอกไม่ควรติดตั้งในบริเวณที่โดนแดดโดยตรงหรืออยู่ในที่อับชื้นเพราะความร้อนและความชื้นส่งผลเสียและทำลายตัวเครื่องได้
- หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศอยู่เสมออย่าให้มีฝุ่นเกาะกันเลยเชียวจะช่วยประหยัดไฟได้ดีถ้าหากตัวแผ่นกรองสะอาดอยู่เสมอ
หลังจากการดูแลบำรุงรักษาด้วยตัวเองแล้วอาจยังไม่พอควรล้างทำความสะอาดแอร์โดยช่างผู้ชำนาญการด้วยทุก4-6 เดือน
มาถึงตรงนี้เราก็ได้เรียนรู้วิธีการเลือกขนาดแอร์ว่าควรใช้กี่BTUจึงเหมาะกับขนาดห้องเท่าไหร่และยังได้เรียนรู้ถึงการดูแลรักษาแอร์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนี้เรามาลองดูชนิดของแอร์ในลักษณะต่างๆกันดีกว่า
ชนิดของแอร์มีอะไรบ้าง
- แอร์แบบผนัง
- แอร์แบบตั้ง/แขวน
- แอร์แบบฝังฝ้า
- แอร์แบบตู้ตั้ง
สิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อต้องการซื้อแอร์นอกเหนือจากขนาดBTU
- จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆที่ตั้งอยู่ภายในห้องที่ต้องการติดตั้งแอร์
- จำนวนผู้ใช้หรืออยู่อาศัยภายในห้องที่ต้องการติดตั้งแอร์
- หลังคาหรือวัสดุก่อสร้างของห้องที่ต้องการติดตั้งแอร์
- ทิศทางที่แดดส่องห้องพัก
- ค่าEER/SEER
การจะซื้อแอร์ดีดีสักเครื่องนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆก่อนจะตัดสินใจซื้อควรเลือกสิ่งที่ดีและเข้ากับจุดประสงค์การใช้งานของเราให้มากที่สุดเพื่อการคุ้มค่าในการใช้จ่ายรวมถึงการใช้สอยด้วย
BTU ย่อมาจาก British Thermal Unit คือขนาดความสามารถการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดย 1 ตันความเย็น = 12000 BTU
เราควรเลือกขนาดของเครื่องปรับอากาศให้พอเหมาะกับห้อง
หาก BTU สูงไป คอมเพรสเซอร์จะตัดบ่อย ความชื้นในห้องสูง ทำให้ไม่สบายตัว ราคาแพง และสิ้นเปลืองพลังงาน
หาก BTU ต่ำไป คอมเพรสเซอร์จะทำงานหนัก ต้องทำงานตลอดเวลา เพราะความเย็นไม่ได้ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ สิ้นเปลืองพลังงาน และอายุการใช้งานแอร์ลดลง
ตารางการเปรียบเทียบการเลือกขนาด BTU กับพื้นที่ห้อง
บีทียูขนาดห้อง (ตารางเมตร)ห้องปกติห้องที่โดนแดด900012-14
11-13
1200016-20
14-18
1800020-28
21-27
2100028-35
25-32
32-40
28-35
2600035-44
30-39
3000040-50
35-45
3600048-60
42-54
4000056-65
52-60
4800064-80
56-72
6000080-1000
70-90
** เป็นการเปรียบเทียบโดยประมาณ ทั้งนี้ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นเพิ่มเติม
ปัจจัยที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมในการเลือกขนาดบีทียูแอร์
1. จำนวนและขนาดของหน้าต่าง
2. ทิศที่แดดส่องหรือทิศที่ตั้งของห้อง
3. วัสดุหลังคามีฉนวนกันความร้อนหรือไม่
4. จำนวนคนทีใช้งานในห้อง
5. จำนวน และประเภทของเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆภายในห้อง เช่นคอมพิวเตอร์ หรือไดร์เป่าผม ที่ทำให้เกิดความร้อนภายในห้อง
วิธีการคำนวณหาค่า BTU
BTU = พื้นที่ห้อง (กว้าง x ยาว) x ค่าตัวแปร
ค่าตัวแปร
700-800 สำหรับห้องนอน หรือห้องที่มีความร้อนน้อย (ห้องที่ไม่โดนแดดหรือโดนเล็กน้อย ฝ้าต่ำ หรือห้องที่ใช้แอร์ช่วงกลางคืน)
800-900 สำหรับห้องรับแขก หรือห้องที่มีความร้อนปานกลาง – มาก (ห้องที่โดนแดด อยู่ทิศตะวันตก หรือใช้แอร์ช่วงกลางวัน)
900-1000 สำหรับห้องทำงาน ห้องออกกำลังกาย หรือห้องที่มีความร้อนมาก หรือฝ้าสูง(ห้องที่โดนแดด อยู่ทิศตะวันตก อยู่ชั้นบนสุด หรือใช้แอร์ช่วงกลางวัน)
1000-1200 สำหรับร้านค้า ร้านอาหารที่เปิดปิดประตูบ่อย ร้านทำผม หรือสำนักงานที่มีคนอยู่จำนวนมาก
หากฝ้าเพดานสูงกว่า 2.5 เมตร มีจำนวนคนในห้องมาก หรือมีคอมพิวเตอร์ ควรบวกค่า BTU เพิ่มขึ้นอีก 5% จากค่าปกติ