แบตรถหมด รู้ได้อย่างไร?
แบตเตอรี่คือแหล่งพลังงานสำคัญของรถยนต์ แต่หากไม่ได้ใส่ใจมากพอก็อาจเกิดปัญหาแบตเตอรี่รถหมดกระทันหันหรือแบตรถหมดกลางทางขึ้นมาได้ เพราะแค่เผลอเปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้หรือปล่อยให้แบตเสื่อม ก็ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ของเราหมดได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น มารู้จักวิธีสังเกตสัญญาณเตือนแบตรถหมดและวิธีแก้ไขกันไว้ก่อนดีกว่า!
เมื่อแบตรถหมดจะรู้ได้อย่างไร มีอาการแบบใดที่เครื่องยนต์จะแสดงออกมาให้รับรู้ก่อนบ้าง
เกร็ดความรู้จากโตโยต้า ลีสซิ่ง จะพาไปหาคำตอบพร้อม ๆ กัน เพื่อจะได้รีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ ก่อนจะเจอกับปัญหาแบตเตอรี่รถหมดระหว่างทาง ซึ่งหลัก ๆ จะมี 4 สัญญาณเตือนดังนี้
1. รถสตาร์ทติดยากในตอนเช้า
2. รถสตาร์ทติดยากในตอนที่จอดรถทิ้งไว้ชั่วคราว
3. รถสตาร์ทติดยากเมื่อจอดรถทิ้งไว้ประมาณ 3-5 วัน (แต่อาการนี้อาจต้องเช็กระบบไฟร่วมด้วยว่ามีอาการไฟ รั่ว หรือเป็นเพราะแบตเตอรี่กันแน่)
4.
สัญญาณไฟเตือนบางระบบขึ้นแจ้งเตือน เช่น สัญญาณไฟรูปเครื่องยนต์
เมื่อสังเกตเห็นอาการเหล่านี้เมื่อไร ให้สงสัยไว้ก่อนว่าแบตเตอรี่รถใกล้หมดหรือเกิดอาการแบตเสื่อม ให้รีบเปลี่ยนแบตโดยด่วน หรือหากบางคนเพิ่งเปลี่ยนแบตมาใหม่ อาจต้องพ่วงแบตเพื่อชาร์จไฟให้แบตเตอรี่อีกครั้งเพื่อป้องกันปัญหาแบตรถหมดที่อาจเกิดขึ้นตามมา
วิธีแก้ไขเมื่อแบตรถหมด
การแก้ไขเมื่อแบตเตอรี่รถหมดไม่ใช่เรื่องยาก เราสามารถทำได้โดย “การพ่วงแบต” ตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ขอความช่วยเหลือจากรถยนต์คันอื่น
ๆ เพื่อให้มาพ่วงแบตเตอรี่ให้ โดยจอดรถหันฝากระโปรงหน้าให้ใกล้กันมากที่สุดจากนั้นดับเครื่องยนต์
2. หนีบสายพ่วงแบตขั้วบวก (สีแดง) เข้ากับขั้วบวกของคันที่แบตรถหมด จากนั้นนำสายอีกฝั่งไปหนีบที่ขั้วบวกของรถคันที่มาช่วยพ่วงแบต
3. หนีบสายพ่วงแบตขั้วลบ (สีดำ) เข้ากับขั้วลบของคันที่มาช่วย ส่วนอีกฟากนำไปหนีบที่ตัวถังของรถที่แบตหมด
4. สตาร์ทรถคันที่มาช่วยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที
ระหว่างนี้ให้เร่งเครื่องบ้างเป็นระยะเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนประจุไฟฟ้า
5. ลองสตาร์ทเครื่อง เพื่อดูว่ารถของเราว่าสตาร์ทติดหรือไม่ หากสตาร์ทติดแล้วให้ถอดสายพ่วงแบตออก โดยเริ่มถอดจากคันที่แบตรถหมดก่อน
6. สตาร์ทรถทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นจะสามารถขับรถได้ตามปกติ แต่อย่าเพิ่งใช้ระบบไฟต่าง ๆ มากเกินไป หรือหากต้องการความอุ่นใจก็ให้นำรถเข้าอู่พื่อเช็กสภาพแบตและเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้เลย
แม้ว่าการพ่วงแบตไม่ใช่เรื่องยาก
แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อย คือห้ามสตาร์ทรถทั้งสองคันพร้อมกันเด็ดขาดเพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟ เสี่ยงต่อการเกิดระเบิดหรืออุบัติเหตุอื่นได้ ที่สำคัญอย่าจุดไฟแช็ก สูบบุหรี่ หรือทำให้เกิดประกายไฟระหว่างการพ่วงแบตเป็นอันขาดเพื่อความปลอดภัยของเราเอง
ดังนั้นใครที่เห็นสัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่รถหมดทำให้เกิดอาการสตาร์ทติดยากหรือเครื่องติด ๆ ดับ ๆ ต้องรีบพ่วงแบตหรือเปลี่ยนแบตโดยด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแบตรถหมดกลางทางจนอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้
นอกจากต้องรอบรู้เรื่องแบตรถหมด และวิธีแก้ไขอย่างถูกวิธีจะช่วยให้รถของคุณปลอดภัยแล้ว การทำประกันภัยรถยนต์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นกัน และหากสนใจประกันรถยนต์อย่างครบวงจร* สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ //toyotainsurancebroker.com/index.php
หมายเหตุ - *รายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้น เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด บริษัท โตโยต้า อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด ให้บริการด้านนายหน้าประกันภัยในเครือโตโยต้า ลีสซิ่ง
อ่านเกร็ดความรู้อื่นๆ ได้ที่ //www.tlt.co.th/news/knowledge
รวมอาการแบตเตอรี่มือถือเสื่อม มีอะไรบ้าง ถ้ามีอาการเหล่านี้ ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว
หนึ่งในปัญหายอดฮิตของมือถือที่ใช้มาแล้วหลายปี ก็คืออาการแบตเตอรี่เสื่อม ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มือถือทุกเครื่องจะต้องประสบเมื่อใช้งานมาแล้วมากกว่า 2 ปีขึ้นไป แต่หลายคนก็อาจยังไม่แน่ใจว่าปัญหาที่พบเจออยู่นั้นเกิดจากแบตเตอรี่เสื่อมหรือไม่ แล้วจะดูยังไงว่าแบตเตอรี่เสื่อมหรือยัง วันนี้เราจึงจะมาอธิบายให้เข้าใจกันถึงวิธีสังเกตอาการของแบตเตอรี่เสื่อม ที่บ่งบอกว่าควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว
1. แบตเตอรี่ลดเร็วกว่าปกติ
ตามปกติแล้วเมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม จะสามารถใช้งานได้ทั้งวันแบตเตอรี่จึงจะใกล้หมด แต่ถ้าหากแบตเตอรี่เริ่มหมดเร็วกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด เช่น ใช้ได้ไม่ถึงครึ่งวันหรือหมดเร็วกว่านั้น ก็เป็นตัวบ่งบอกว่าแบตเตอรี่มีการเสื่อมสภาพค่อนข้างมากแล้ว รวมทั้งเปอร์เซ็นต์ของแบตเตอรี่ที่ลดลงเรื่อย ๆ ขณะใช้งานถ้าหากลดครั้งละหลายเปอร์เซ็นต์ก็เป็นอาการของแบตเตอรี่เสื่อมเช่นกัน (ตามปกติแล้วจะลดครั้งละ 1%)
2. ความจุไฟลดลง
แบตเตอรี่เมื่อผ่านการใช้งานแล้วความจุจะลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุการใช้งาน ซึ่งแบตเตอรี่ที่เริ่มเสื่อมสภาพจะมีความจุไฟน้อยกว่าแบตเตอรี่ใหม่ ๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยส่งผลให้เวลาชาร์จจะเต็มไวกว่าปกติ และแบตเตอรี่ก็จะหมดเร็วกว่าปกติด้วยเช่นกัน
3. ปริมาณแบตเตอรี่ไม่คงที่
ปริมาณของแบตเตอรี่ที่แสดงเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์นั้น ในกรณีที่แบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพอาจมีอาการแสดงเปอร์เซ็นต์ไม่คงที่ เช่น เพิ่งชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% แต่ผ่านไปไม่กี่นาทีแบตเตอรี่ก็ลดลงเหลือ 70% และเมื่อผ่านไปอีกสักพักก็กลับขึ้นมาเป็น 85% ทั้งที่ไม่ได้ชาร์จเพิ่มเลย
4. เครื่องดับแบบไร้สาเหตุ
ถ้าหากมีอาการเครื่องดับขณะใช้งานตามปกติ โดยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอย่างอื่น เช่น เครื่องค้างหรือแอปฯ ค้าง รวมทั้งการที่เครื่องดับขณะที่ไม่ได้ใช้งาน คือเมื่อหยิบเครื่องมาจะใช้งานก็พบว่าเครื่องดับไปเสียแล้ว อาการดังกล่าวก็อาจมาจากแบตเตอรี่เสื่อมด้วยเช่นกัน
5. แบตเตอรี่บวม
แบตเตอรี่ที่เสื่อมมาก ๆ อาจมีอาการปูดบวมของตัวแบตเตอรี่ ซึ่งถ้าหากเป็นมือถือสมัยก่อนที่สามารถเปิดฝาถอดแบตเตอรี่ออกมาดูได้ก็จะสามารถมองเห็นได้ชัด แต่สำหรับมือถือยุคใหม่ที่เปิดฝาหลังเครื่องไม่ได้ เมื่อแบตเตอรี่บวมก็อาจดันฝาหลังหรือหน้าจอให้ปูดบวมหรืออ้าเผยอขึ้นมา
6. แบตเตอรี่ใช้มาหลายปีแล้ว
อายุการใช้งานของแบตเตอรี่นั้นตามปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 ปี ซึ่งถ้าหากผ่านการใช้งานมามากกว่า 2 ปีแล้วมีอาการต่าง ๆ ตาม 5 ข้อข้างบน ก็ยิ่งสามารถฟันธงได้ว่าแบตเตอรี่น่าจะเสื่อมแน่ ๆ เพราะยิ่งแบตเตอรี่ผ่านการใช้งานมานานเท่าไรก็จะยิ่งมีโอกาสเสื่อมมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งนี้สำหรับการเปลี่ยนแบตเตอรี่ แนะนำให้เปลี่ยนกับศูนย์บริการของแบรนด์มือถือที่ใช้อยู่โดยตรง หรือเปลี่ยนกับร้านซ่อมที่เชื่อถือได้ เพื่อที่จะได้มั่นใจได้ว่าแบตเตอรี่ใหม่ที่ได้มานั้นเป็นของแท้ได้มาตรฐาน ไม่ใช่แบตเตอรี่คุณภาพต่ำที่ใช้แล้วเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย