เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี ช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย วิตามินอีพบมากในอะโวคาโด ถั่วต่างๆ เมล็ดทานตะวัน เนยถั่ว งา และน้ำมันสำหรับปรุงอาหารทุกชนิด
เปิดบริการใหม่! Afternoon Checkup สำหรับคนที่อยากตรวจสุขภาพในเวลาที่คุณสะดวก เพราะเปิดให้ลงทะเบียนตรวจสุขภาพได้จนถึงบ่าย 3 โมงเย็น ไม่ต้องงดน้ำงดอาหารก็ได้ แต่จะไม่ทราบผลตรวจบางตัว โดยที่ผลตรวจสุขภาพได้ภายในวันนั้น คลิก อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:การที่ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่อย่างเพียงพอในแต่ละวันนั้น นับว่าเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะวิตามินและเกลือแร่เหล่านั้นมีส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มปริมาณของของเม็ดเลือดขาวและการสร้างแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกันต่อสิ่งแปลกปลอมนั่นเอง1 แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่มีประสิทธิภาพ และอาจทำให้ร่างกายได้รับการติดเชื้อต่างๆได้ง่ายมากขึ้น2
โดยทั่วไปแล้วระบบภูมิคุ้มกันจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ (1.)ระบบภูมิคุ้มกันที่ได้รับมาแต่กำเนิด เป็นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ถูกสร้างและติดตัวมาตั้งแต่เกิด เช่น ส่วนของเยื่อเมือกต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นด่านแรกและทำงานอย่างรวดเร็วในการเข้ากำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม (2.)ระบบภูมิคุ้มกันที่ได้รับมาภายหลัง แบ่งย่อยออกเป็น 2 ชนิด ตามการตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม คือ การตอบสนองโดยใช้เซลล์(cellular immunity) และการตอบสนองโดยการสร้างสารแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกันต่อสิ่งแปลกปลอม( humoral immunity) ซึ่งจะรวมถึงการถูกกระตุ้นจากวัคซีนต่าง ๆ แล้วร่างกายผลิตสารภูมิคุ้มกันขึ้นมาด้วย 3 ดังนั้นหากแบ่งกลุ่มของวิตามินและเกลือแร่ตามการทำหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกัน จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
- ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ได้รับมาแต่กำเนิด ได้แก่ วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินอี, และ ซิงค์ 2,3
- ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแบบพึ่งเซลล์ ได้แก่ วิตามินเอ, วิตามินบี6, วิตามินบี12, วิตามินซี, วิตามินอี, วิตามินดี, ธาตุเหล็ก, โฟลิค แอซิด, ทองแดง, ซิลิเนียม และซิงค์ เป็นต้น2,3
- ช่วยในการสร้างแอนติบอดี้ ได้แก่ วิตามินเอ, วิตามินบี6, วิตามินบี12, วิตามินอี, วิตามินดี, ทองแดง, ซิงค์, โฟลิค แอซิด และซิลิเนียม2,3
แม้จะมีขนาดเล็กมาก แต่วิตามินและแร่ธาตุในอาหารที่เรารับประทานนั้นมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและความเป็นอยู่ของเรา
“ลองจินตนาการร่างกายของเราเป็นรถที่เราเติมน้ำมันในรูปของคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน โดยที่วิตามินและแร่ธาตุทำหน้าที่เป็นเครื่องยนต์” นาธาน บอลด์วิน นักโภชนาการที่ได้รับการรับรองที่ Your Geneius กล่าว
ความแตกต่างระหว่างวิตามินและแร่ธาตุ
แม้ว่าบ่อยครั้งจะถูกเหมารวมกัน แต่จริงๆ แล้ววิตามินและแร่ธาตุต่างกันพอสมควรเลยทีเดียว
“ทั้งสองอย่างนับเป็นสารอาหารที่เราต้องการในปริมาณเล็กน้อย เพื่อให้ร่างกายของเราทำงานได้อย่างแข็งแรง วิตามินนั้นเป็นสารอินทรีย์ที่ประกอบด้วยคาร์บอน ส่วนแร่ธาตุนั้นเป็นสารอนินทรีย์และไม่มีคาร์บอน” นักโภชนาการ โทรี่ เบลค อธิบาย
วิตามินนั้นถูกสร้างขึ้นโดยพืชและสัตว์ ขณะที่แร่ธาตุนั้นเกิดในดินและน้ำ ซึ่งเราบริโภคเข้าร่างกายผ่านทางพืชและสัตว์ที่ได้ซึมซับแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าไป
ประเภทของสารอาหาร
วิตามินและแร่ธาตุแบ่งได้เป็นสองกลุ่มหลักๆ นั่นคือ วิตามินกลุ่มที่ละลายได้ในไขมัน (วิตามินเอ อี ดีและเค) และวิตามินที่ละลายในน้ำ (วิตามินซีและกลุ่มบี เช่น วิตามินบีสิบสอง โฟเลต/บีเก้าและไรโบเฟลวิน/บีสอง และอื่นๆ)
“จุดที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือ วิธีที่ร่างกายเราย่อยวิตามินพวกนี้” เบลค กล่าว “วิตามินที่ละลายในน้ำนั้นจะถูกซึมซับเข้าไปในน้ำของร่างกาย แต่ถ้าเราบริโภคเป็นปริมาณมากก็จะขับออกมาทางปัสสาวะ ในขณะที่วิตามินที่ละลายในไขมันจะสลายตัวและเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน ซึ่งกำจัดได้ยากถ้าหากร่างกายเรามีมากเกินไป”
เนื่องจากวิธีที่ร่างกายเราเก็บวิตามินละลายในไขมัน ทำให้เรามีความเสี่ยงน้อยที่เราจะขาดวิตามินเหล่านี้ในเวลาอันรวดเร็ว
ส่วนแร่ธาตุนั้นมีสองประเภทหลักๆ คือแร่ธาตุหลักและแร่ธาตุรอง “แร่ธาตุหลักอย่างโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โซเดียมนั้นจะหาได้ในอาหารทุกประเภท ขณะที่แร่ธาตุรองอย่างเหล็ก สังกะสี และเซเลเนียม จะหาในอาหารได้ในปริมาณน้อยกว่าและต่างกันในอาหารแต่ละประเภท” บอลด์วิน กล่าว
ทำไมเราจำเป็นต้องมีสารอาหารเหล่านี้
วิตามินและแร่ธาตุเป็นสิ่งจำเป็นเทียบเคียงได้กับน้ำและอากาศเพื่อที่จะรักษาให้ร่างกายมีสุขภาพดีและระบบการทำงานต่างๆ ทำงานได้ปกติ
“สารอาหารเหล่านี้เป็นปัจจัยร่วมที่ช่วยให้เอนไซม์ในร่างกายทำหน้าที่ต่างๆ ได้ เช่น การสร้างพลังงาน สร้างคอลลาเจน และการเผาผลาญ (เมตาบอลิซึม) ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยหากขาดสารอาหาร” เบลค กล่าว
สารอาหารทุกชนิดมีบทบาทของตัวเอง แร่ธาตุทำหน้าที่ในการรักษาสุขภาพกระดูก กล้ามเนื้อและหัวใจ เป็นต้น และมีส่วนสำคัญในการสร้างเอนไซม์และฮอร์โมน
ส่วนวิตามินนั้นเป็นส่วนสำคัญในการ “แปลง” อาหารให้เป็นพลังงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในหน้าที่เบื้องต้นที่วิตามินเหล่านี้ทำได้ “ยกตัวอย่างเช่นวิตามินบี 12 จะช่วยระบบประสาท วิตามินเอ ช่วยในเรื่องของดวงตา วิตามินเค รักษากระดูก และวิตามินซีช่วยขจัดสารอนุมูลอิสระและทำให้เราซึมซับธาตุเหล็กได้ดี และอื่นๆ อีกมากมาย” บอลด์วิน กล่าว
เราจะหาสารอาหารเหล่านี้ได้ที่ไหน
เราสามารถเติมเต็มความต้องการวิตามินและแร่ธาตุด้วยการรับประทานอาหารแบบโฮลฟู้ด (อาหารแบบใกล้เคียงธรรมชาติที่ไม่เอาส่วนประกอบออก) ประกอบด้วยอาหารสด (โดยเฉพาะผักและผลไม้) และอาหารที่ผ่านการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์แบบน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“คุณควรบริโภคอาหารหลายๆ ประเภทด้วย เพราะประเภทของอาหารที่ต่างกันจะมีสารอาหารที่ไม่เหมือนกัน” เบลค เตือน
วิธีที่ดีคือ ควรรับประทานอาหารแบบหลากสีสัน และพืชผักหลากสีเข้าไว้เท่าที่จะหาได้
อาหารเสริมอาจช่วยได้หากว่า ผลตรวจเลือดของคุณระบุว่าขาดสารอาหารใดๆ หรือถ้าบริโภคอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งไม่ได้ (เช่นเป็นมังสวิรัติหรือวีแกน) หรือกำลังตั้งครรภ์