พ.ศ. 2505 l บริษัทยูเนียนออยล์ (ภายหลังชื่อว่า บริษัท ยูโนแคลไทยแลนด์ จำกัด และเปลี่ยนมาเป็นบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด) เป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซแห่งแรกที่ได้รับสัมปทานสำรวจปิโตรเลียมบริเวณที่ราบสูงโคราช
พ.ศ. 2511 l ได้รับสัมปทานสำรวจปิโตรเลียมแปลงหมายเลข 12 และ 13 ในอ่าวไทย
พ.ศ. 2521 l ลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซฉบับแรก ต่อมาได้ตั้งชื่อแหล่งดังกล่าวอย่างเป็นทางการว่า “เอราวัณ” ซึ่งเป็นช้างสามเศียรอันเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์
ปตท. เปิดโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติในทะเล ยาว 425 กม. (ท่อส่งก๊าซฯ ในทะเลที่ยาวที่สุดในโลก ณ เวลานั้น) เพื่อเชื่อมระหว่างแหล่งเอราวัณไปยังจังหวัดระยอง
พ.ศ. 2523 l ก่อตั้งศูนย์เศรษฐพัฒน์ ที่มีหลักสูตรฝึกอบรมบุคลากรของเชฟรอนในหลายด้าน ได้แก่ด้านเทคโนโลยี ความเป็นผู้นำ และการบริหารจัดการต่างๆ เพื่อพัฒนาความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
พ.ศ. 2524 l การผลิตที่แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ วันที่ 17 สิงหาคม ด้วยปริมาณ 35 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
พ.ศ. 2533 l สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังสำนักงานในกรุงเทพฯ และทอดพระเนตรกิจการด้านการสำรวจและการผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย จากนั้นได้มีการติดตั้งสถานีเรดาร์สำรวจอากาศนอกชายฝั่งที่แหล่งก๊าซสตูล
เชฟรอนเป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานระดับโลก ที่มีส่วนสำคัญในการบุกเบิกและพัฒนาธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยมานานกว่า 60 ปี
บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เป็นบริษัทในเครือของบริษัทเชฟรอนคอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ด้วยระบบการจัดการด้านความปลอดภัย สุขภาพและสิ่งแวดล้อม ที่เชื่อถือได้ และมีประสิทธิภาพ โดยมีผลการปฏิบัติงานที่ได้มาตรฐานระดับโลก
เชฟรอนเป็นเอกชนรายแรกที่ค้นพบและสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้จากอ่าวไทยเมื่อกว่า 40 ปี ก่อน โดยในปี พ.ศ. 2524 เชฟรอนเริ่มต้นการผลิตที่แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ หลังจากประสบความสำเร็จค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในอ่าวไทยเมื่อแปดปีก่อนหน้านั้น นับจากนั้นเป็นต้นมา ก๊าซธรรมชาติได้กลายมาเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญสำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศ และยังนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศอีกด้วย
โดย Liz Moyer investing.com -- ภาพรวมของสามประเด็นหลักที่น่าสนใจฝั่งสหรัฐประจำวันนี้มีดังต่อไปนี้ 1. จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมัน จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันจาก Baker Hughes จะรายงานออกมาในเวลา 13:00 น....
ความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกหลังจากเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วกลับมาเกือบจะเป็นปกติทำให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังลดลง แม้ฟังดูเหมือนเป็นข่าวดีสำหรับวงการน้ำมัน แต่เมื่อความต้องการมีมากกว่าความสามารถในการผลิต นั่นจึงทำให้ราคาน้ำมันดิบ WTI สามารถปรับตัวขึ้นจนเกินระดับค่าเฉลี่ยของปี 2020 ที่ $60 ต่อบาร์เรล จนใกล้จะขยับเข้าถึง $75 ต่อบาร์เรล
ในเมื่อนักลงทุนกำลังให้ความสนใจกับตลาดน้ำมันมากขึ้นเรื่อยๆ ในบทความนี้เราจึงมาแนะนำหุ้นบริษัทน้ำมัน 3 ตัวที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่องภายในเดือนกรกฎาคมที่พึ่งมาถึงหรือภายในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่เข้าสู่ฤดูร้อนของประเทศตะวันตกเต็มตัว
1. EOG Resources
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: +65.1%
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด: $48,100 ล้านเหรียญสหรัฐ
นักวิเคราะห์เชื่อว่าหุ้น EOG จะได้รับอานิสงส์จากขาขึ้นของ WTI ที่ขยับเข้าใกล้ $75 ต่อบาร์เรลเข้าไปทุกที ก่อนหน้านี้ EOG เคยออกมาพูดว่าพวกเขาต้องการเพียงไม่ให้ WTI ลงไปวิ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย $39 ต่อบาร์เรลเพื่อรักษาราคาต้นทุน
ในแง่ของการรักษากระแสเงินสดของบริษัท EOG ถือว่าทำได้ดี พวกเขามีการใช้กลยุทธ์ซื้อหุ้นคืน และเพิ่มเงินปันผลขึ้นอยู่ตลอด (ล่าสุดมีตัวเลขปันผลอยู่ที่ 2%) อย่างไรก็ตาม การรายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมค่อนข้างน่าผิดหวังอยู่พอสมควร แล้วตัวเลขการปันผลต่อหุ้น (EPS) จะเพิ่มขึ้น แต่กำไรสุทธิกลับหดตัว แต่ด้วยสภาพแวดล้อมของราคาน้ำมันดิบเช่นนี้ นักลงทุนจึงสนใจว่าการรายงานผลประกอบการครั้งถัดไปในวันที่ 5 สิงหาคม EOG จะสามารถผลิกกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งหรือไม่
นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่าในไตรมาสที่ 2 EOG จะสามารถรายงานตัวเลข EPS ออกมาที่ $1.40 เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วที่ $0.23 ส่วนกำไรนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น $3,890 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก $1,100 ล้านเหรียญสหรัฐในปีที่แล้ว คิดเป็นการเพิ่มขึ้นมากถึง 253%
2. Occidental Petroleum
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: +80.8%
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด: $29,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
ตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นของ Occidental Petroleum ปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้นประมาณ 81% มีราคาซื้อขายล่าสุดเมื่อวันอังคารอยู่ที่ $31.30 สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $33.01 และมีมูลค่าตลาดรวมทั้งสิ้น $29,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในการรายงานผลประกอบไตรมาสที่ 1 ปี 2021 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม บริษัท Occidental Petroleum สามารถรายงานผลประกอบการที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ได้ นักลงทุนจึงจับตารอดูว่าในรายงานผลประกอบการครั้งถัดไปซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 9 สิงหาคม Occidental Petroleum จะยังรักษาสถิตินี้ต่อไปได้อีกหรือไม่
สำหรับตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 นักวิเคราะห์ประเมินว่าตัวเลข EPS อาจลดลงจาก $1.76 ของช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วเป็น $0.15 ในขณะที่กำไรคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น $5,470 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นแบบเทียบปีต่อปี 87%
นอกจากการรายงานตัวเลขผลกำไรแล้ว สิ่งที่นักลงทุนอยากทราบอีกก็คือบริษัทมีมุมมองต่อภาพรวมตลาดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่างไรในช่วงครึ่งปีหลัง และที่อยากทราบมากที่สุดคือแผนรองรับหลังจากไปทำการกู้มหาศาลเพื่อเข้าซื้อกิจการของบริษัทคู่แข่งนาม Anadarko Petroleum ในปี 2019 ด้วยวงเงิน $38,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
3. Continental Resources
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: +127.5%
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด: $13,600 ล้านเหรียญสหรัฐ
นับตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นของ Continental Resources ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 128% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $39.73 ตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2019 มีราคาซื้อขายล่าสุดเมื่อวันอังคารอยู่ที่ $37.03 และมีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ $13,600 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด Continental Resources สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ ทั้งตัวเลขการปันผลต่อหุ้นและตัวเลขผลกำไร ดังนั้นในรายงานผลประกอบการครั้งถัดไปที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม นักวิเคราะห์จึงคาดการณ์กันว่าตัวเลข EPS อาจจะหดตัวจาก $0.71 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วลงมาเป็น $0.43 แต่สำหรับกำไรนั้นคาดว่าในไตรมาสที่สองจะเพิ่มขึ้น 500% เป็น $1,060 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับผู้ถือหุ้น นอกเหนือจากตัวเลขผลกำไรและ EPS แล้ว พวกเขาจะให้ความสนใจกับตัวเลขการบริหารเงินทุนในบาลานซ์ชีท เพราะบริษัทกำลังพยายามที่จะลดภาระหนี้ลงอย่างชัดเจน นอกจากนี้พวกเขาจะให้ความสนใจกับการคาดการณ์ภาพรวมและกระแสเงินสดภายในช่วงครึ่งปีหลังด้วย
ในรายงานผลประกอบการครั้งก่อน Continental Resources คาดการณ์ว่าไตรมาสนี้จะมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น $3,100 ล้านเหรียญ หากเป็นเช่นนั้นจริง บริษัทจะมีเงินมากพอที่จะเอาไปเพิ่มเปอร์เซ็นต์เงินปันผลที่มีตัวเลขตอนนี้อยู่ที่ 1.20% หรือนำไปซื้อหุ้นคืนได้