4 แสนครัวเรือน ผงะ อาชีพ "ชาวไร่ข้าวโพด" อีก 2 ปีข้างหน้า เสี่ยงสูญพันธุ์ "จีน" พลิกส่งออก ชิงเค้กตลาดโลก ชิ่งกระทบ "มันสำปะหลัง" ลดนำเข้า ไทยระส่ำ ร้องรัฐ กู้วิกฤติ ด่วน ล่มสลาย
ความท้าทายของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทย นับถอยหลัง 2 ปีนับจากนี้ น่าจับตาว่าจะถึงจุดจบของอาชีพแบบชาวไร่ถั่วเหลือง หรือไม่ เพราะในวันนี้ข้าวโพดของเกษตรกรเจอพายุโหมกระหน่ำหลายลูก จากถูกหลายสินค้านำเข้าที่ทดแทนกันได้ตีตลาดเช่น กากข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์
จากข้อมูลของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี พ.ศ. 2563 -2567 ที่มีกรมวิชาการเกษตรเป็นประธาน เผยข้อมูลการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของโลกช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2559/60 - 2563/64) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 1,127.66 ล้านตัน ในปี 2559/60 เป็น 1,163.21 ล้านตัน ในปี 2563/64 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.94 ต่อปี (ข้อมูล ณ ก.ค.2563) โดยประเทศผู้ผลิตหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 32.95) จีน (ร้อยละ 23.20) บราซิล (ร้อยละ 8.73) สหภาพยุโรป (ร้อยละ 5.77) และอาร์เจนตินา (ร้อยละ 4.00)
ขณะที่ประเทศผู้ส่งออกข้าวโพดหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 32.77) บราซิล (ร้อยละ 18.98) อาร์เจนตินา (ร้อยละ 18.42) ยูเครน (ร้อยละ 16.32) และรัสเซีย (ร้อยละ 2.72) และประเทศผู้นำเข้าหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่ สหภาพยุโรป (ร้อยละ 12.50) เม็กซิโก (ร้อยละ 10.02) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 9.56) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 6.46) และเวียดนาม (ร้อยละ 6.23)
ทั้งนี้ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของโลกช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปี 2559/60 - 2563/64 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 1,087.80 ล้านตัน ในปี 2559/60 เป็น 1,160.12 ล้านตัน ในปี 2563/64 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.59 ต่อปี โดยประเทศผู้ใช้หลัก 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 27.77) จีน (ร้อยละ 23.97) สหภาพยุโรป (ร้อยละ 7.30) บราซิล (ร้อยละ 5.84) และเม็กซิโก (ร้อยละ 3.87)
ด้านราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อเมริกันชั้น 2 ตลาดชิคาโกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปี 2558/59 - 2562/63 มีแนวโน้มลดลงจากตันละ 5,313 บาท ในปี 2558/59 เหลือตันละ 4,773 บาท ในปี 2562/63 หรือลดลงร้อยละ 2.82 ต่อปี เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลง 2 ปีต่อเนื่อง จูงใจให้โรงงานผู้ผลิตอาหารสัตว์ในไทยมีการนำเข้าเพิ่ม (ปี 2562 ไทยมีการนำเข้าข้าวโพดอาหารสัตว์ 6.81 แสนตัน มูลค่า 4,772 ล้านบาท ปี 2563 เพิ่มเป็น 1.58 ล้านตัน มูลค่า 8,686 ล้านบาท)
“ข้าวโพดสหรัฐฯ ผลผลิตเฉลี่ย 1,780 กิโลกรัมต่อไร่ ฤดูกาลที่ผ่านมา ราคาประมาณ กก. ละ 4.50-5.50 บาท ส่งมาขายตลาดเอเชีย 6.50-8 บาทต่อกิโลฯ ขณะที่ข้าวโพดไทยราคาเฉลี่ยที่ 8.50 บาทต่อกิโลฯ ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพียง 701 กิโลฯ ในฤดูกาลผลิต 2563/64 ที่ผ่านมา”แหล่งข่าวระบุ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณา “การตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ในตลาดโลก ส่วนใหญ่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ และวัตถุดิบทำเอทานอล เมื่อเป็นสินค้าวัตถุดิบ ตลาดจึงแข่งขันกันด้วย 1. “ราคา” ประเทศไหนที่สามารถทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงภายใต้ต้นทุนผลิตที่เหมาะสมก็จะได้เปรียบเพราะต้นทุนต่อกิโลกรัมที่ตํ่ากว่า ดังนั้นจะสู้ได้ต้องทำให้ต้นทุนผลผลิตข้าวโพดแห้งต่อกิโลกรัมตํ่าสุด
นอกจากนี้การดูแลปกป้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดจากภาครัฐที่ปัจจุบันมีโครงการประกันรายได้ (8.50 บาทต่อกก.) หากอนาคตโครงการสิ้นสุด และเกษตรกรไม่สามารถพัฒนาการปลูกข้าวโพดให้ได้ผลผลิตแห้ง 1,200 กก.ต่อไร่ ใน 2 ปีอนาคตอาชีพปลูกข้าวโพดจะถดถอยถูกตลาดบีบให้ลด ละ เลิกเร็วขึ้น จากมีวัตถุดิบทดแทนที่นำเข้ามา เห็นได้จากมีคนกล่าวไว้ว่า “วัตถุดิบทั่วโลกคือวัตถุดิบของอาหารสัตว์ไทย”
2. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประเทศเพื่อนบ้านต่างนำเข้ามาขายในประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะจากประเทศเมียนมาที่มีการขยายพื้นที่การปลูกมากในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา และยังมีจากลาว กัมพูชา แถมมีโอกาสข้าวโพด GMO อาร์เจนติน่าจะปะปนมาทางด้านกัมพูชาด้วย (ไทยห้ามนำเข้าข้าวโพดจีเอ็มโอ) ซึ่งในอนาคตจะถูกส่งเข้ามาขายมากขึ้น
3.จีนผู้ผลิตข้าวโพดอันดับ 2 ของโลก จำนวน 255 ล้านไร่ เริ่มอนุญาตให้ปลูกพันธุ์ที่มีการตัดต่อทางพันธุกรรม(พันธุ์ GMO) ที่ต้านทานหนอน ต้านทานสารไกลโฟเซต ทำให้มีโอกาสผลผลิตเพิ่มขึ้นมากจากที่ต้องนำเข้า มีโอกาสที่จีนจะเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดรายใหญ่ในอนาคต รวมถึงมีโอกาสลักลอบส่งออกข้าวโพด GMO มาที่ไทย ผลกระทบต่อเนื่องที่ตามมาคือจีนอาจลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากไทย จากจะใช้ข้าวโพดในการผลิตเอทานอล แทนมันสำปะหลังมากขึ้น
จากปัจจัยที่กล่าวมา ทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าอนาคตอาชีพผู้ปลูกข้าวโพดของไทยที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 4.06 แสนครัวเรือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เสี่ยงจะสูญเสียอาชีพ จากถูกกลไกตลาดบีบให้ลด ละ เลิกเร็วขึ้น (ดังตัวอย่างอาชีพปลูกถั่วเหลืองที่ปลูกกันหลังเก็บเกี่ยวข้าวได้เลิกปลูกกันไปจนเกือบหมดแล้ว) ทั้งนี้หากไม่เร่งปรับตัว เช่น เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนให้ตํ่าสุด ปลูกพืชอื่นทดแทน และอื่น ๆ โดยรอให้เวลามาถึงตัวอาจได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าที่คาด
การนำข้าวโพดเข้ามาในประเทศไทยคาดว่าเกิดขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2223 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่เป็นพันธุ์ใดไม่ปรากฏ จากหลักฐานพบว่าในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 การผลิตข้าวโพดเพื่อการค้ายังมีอยู่อย่างจำกัด พันธุ์ที่เริ่มทดลองปลูกมีอยู่ 4 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์พื้นเมืองของไทย พันธุ์เม็กซิกันจูน พันธุ์นิโคลสัน เยลโล่ เด้นท์ และพันธุ์อินโดจีน ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้าวโพดเริ่มขยายการปลูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้เพิ่มมากนัก จนกระทั่งหลังจากที่มีการนำข้าวโพดพันธุ์ทิกิเสท โกลเดน เยลโลว์ (Tiquisate golden yellow) จากประเทศกัวเตมาลา เข้ามาทดสอบปลูกในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2496 โดยเรียกชื่อพันธุ์นี้ว่า พันธุ์กัวเตมาลา ข้าวโพดพันธุ์นี้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของประเทศได้ดี และให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์เดิม ส่งผลให้มีการปลูกข้าวโพดในประเทศเพิ่มมากขึ้น แต่ในปี พ.ศ. 2508 เกิดการระบาดของโรคราน้ำค้างทำให้การผลิตข้าวโพดในประเทศไทยประสบปัญหา กรมกสิกรรม (ปัจจุบันคือ กรมวิชาการเกษตร) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมูลนิธิรอกกีเพลเลอร์ (Rockefeller foundation) จึงได้ร่วมมือกันจัดประสานงานการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพด โดยมีสถานีทดลองกสิกรรมพระพุทธบาท ในอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เป็นสถานีวิจัย และเริ่มพัฒนาไร่สุวรรณ ในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งต่อมาได้จัดตั้งศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่ไร่สุวรรณ ในปี พ.ศ. 2512-2513 และที่ศูนย์แห่งนี้ โดยการนำของ ดร.สุจินต์ จินายน ได้เริ่มพัฒนาข้าวโพดพันธุ์สุวรรณ 1 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ต้านทานโรคราน้ำค้าง และได้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์กัวเตมาลา โดยในปี พ.ศ. 2518 ทางราชการได้ให้การรับรองพันธุ์สุวรรณ 1 อย่างเป็นทางการ และเริ่มผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรได้ปลูกกันในปีถัดไป (วัชรินทร์, 2558) ทั้งนี้ ปัจจุบันข้าวโพดที่ปลูกในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ข้าวโพดฝักสด และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยข้าวโพดฝักสดปลูกเพื่อใช้สำหรับบริโภคและส่งออก ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เนื่องจากใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งจังหวัดที่เป็นแหล่งปลูกข้าวโพดที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ นครราชสีมา เลย ลพบุรี และนครสวรรค์ (ภาพที่ 1) (โชคชัย และเกตุอร, 2561)