การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการสร้างระบบใหม่
เผยแพร่: 15 พ.ย. 2549 14:55 โดย: ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ครองอำนาจรัฐ อันได้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร และในบางประเทศอาจจะโยงไปถึงฝ่ายตุลาการด้วย การเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนตัวผู้บริหารอย่างเดียวโดยไม่เปลี่ยนระบบ หรือในกรณีเปลี่ยนแปลงระบบด้วยก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ระบบโครงสร้างอำนาจ มิได้เปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ คือการรัฐประหาร (coup d’ etat) ถ้าการเปลี่ยนแปลงส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างทางการเมือง ระบบเศรษฐกิจ และทางสังคม โดยมีการเปลี่ยนแปลงค่านิยม วัฒนธรรม อุดมการณ์ นั่นคือการปฏิวัติ (revolution)
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นได้โดยผู้มีอำนาจในกองกำลังจัดตั้งจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เช่น การปฏิวัติโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ปี 2501) และพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ (ปี 2534) เป็นต้น ซึ่งเป็นการรัฐประหาร หรือโดยการลุกฮือของมวลชนทำการล้มผู้ครองอำนาจ เช่น ในกรณี 14 ตุลาคม 2516 ก็มีลักษณะเป็นการรัฐประหารโดยประชาชน หรือเป็นขบวนการทางการเมืองโดยมีการจัดตั้ง มีอุดมการณ์ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น ขบวนการคอมมิวนิสต์ของประเทศจีนนำโดยเหมา เจ๋อตุง ล้มล้างรัฐบาลเจียง ไคเช็ค ซึ่งเป็นการปฏิวัติ ยังมีกรณีพิเศษอีกกรณีหนึ่งก็คือ การที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่การบริหารบ้านเมืองมีลักษณะไม่ซื่อสัตย์สุจริต ลุแก่อำนาจ ละเมิดกฎหมาย จนระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยถูกทำลาย มีสภาพเหมือนคนไข้ที่ใกล้จะสิ้นใจ เสียการสนับสนุนจากประชาชนและมีเสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภายในระบบกระทำมิได้ จึงต้องอาศัยกองกำลังจัดตั้งอันได้แก่ทหารทำการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยประชาชนจำนวนหนึ่งให้การสนับสนุน ในขณะที่ประชาชนที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจก็ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เพราะทางเลือกก็คือการเปลี่ยนแปลงโดยใช้กองกำลังทหาร หรือคงไว้ซึ่งระบอบการปกครองแบบเดิมซึ่งกำลังก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองโดยไม่เห็นทางออก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จึงเป็นมาตรการที่ทำให้ระบบการเมืองที่ไม่สามารถทำงานได้ต่อไปแล้วสิ้นสุดลง (coup de grace) เสมือนกับวิธีการการุณยฆาต (euthanasia หรือ mercy killing ) คนไข้ที่ไม่สามารถรักษาต่อไปได้แล้วให้ยุติการใช้เครื่องช่วยพยุงชีวิต และนี่คือลักษณะของสภาพการเมืองในสังคมไทยขณะนี้ อันได้แก่การเปลี่ยนแปลงในลักษณะพิเศษ
ข้อที่น่าสังเกตยิ่งก็คือ ในการเปลี่ยนแปลงเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยคณะราษฎร ประกอบด้วย ข้าราชการทหาร พลเรือน เป็นหลัก ทำการยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์เพื่อการสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่หลังจากที่ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยดำเนินไปโดยไม่สู้จะเรียบราบนัก เนื่องจากการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนบางครั้งถึงกับเกิดการนองเลือด เช่น กรณีในอดีตคือกบฏแมนฮัตตัน ต่อมาก็คือกรณี 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 และ 17-20 พฤษภาคม 2535 จนมาถึงปี 2549 ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบเต็มใบ โดยมีรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นหลักนั้นก็ไม่ปลอดจากปัญหา การเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามครรลองของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะไม่มีการแข่งขันกันอย่างแท้จริงโดยพรรคใหญ่รองจากพรรคใหญ่สุดไม่ส่งผู้สมัครลงแข่งขันเพื่อรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนนำไปสู่ปัญหาเรื่องอื้อฉาวของการว่าจ้างพรรคเล็กให้ส่งผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ประเด็นสำคัญก็คือ ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าการเลือกตั้งเช่นนี้จะมีลักษณะไม่เป็นประชาธิปไตย จึงควรที่จะปรับปรุงแก้ไขให้เป็นประชาธิปไตย สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความล้มเหลวของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และความล้มเหลวดังกล่าวนี้ได้นำไปสู่คำถามที่ว่าการใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบของตะวันตก ซึ่งมีประวัติศาสตร์ วิวัฒนาการ วัฒนธรรมสังคม ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมทางการเมืองที่แตกต่างกันนั้น จะต้องนำมาพิจารณาให้รอบคอบหรือไม่ เพื่อมิให้ระบบที่สถาปนาขึ้นบนฐานของอุดมคติกลายเป็นระบบที่นำไปปฏิบัติไม่ได้ในความเป็นจริง
แต่ขณะเดียวกันการคำนึงถึงความเป็นจริงโดยออมชอมกับหลักการจนหลักการถูกทำลายโดยสิ้นเชิง ก็จะเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์เพราะไม่สามารถจะอ้างได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างแท้จริง นอกเหนือจากนั้น สังคมจำเป็นต้องปรับตัวและเรียนรู้ให้เข้ากับระบบใหม่ ไม่ใช่สถาปนาระบบเพื่อสวมเข้าไปในสังคมตามที่เป็นอยู่แต่เพียงอย่างเดียว ส่วนใดที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนโดยวางแผนเพื่อการนั้น เช่น ให้มีการอบรมเยาวชนรุ่นใหม่ให้มีหลักการประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความรับผิดชอบ ระเบียบและวินัย ส่วนใดที่ต้องมีการออกกฎหมายเพื่อเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ก็ต้องวางแผนให้เกิดมีการพัฒนาโครงสร้างและกระบวนการดังกล่าวอย่างเต็มที่ในส่วนต่างๆ ของสังคม เป็นต้น
ข้อที่น่าสังเกตยิ่งก็คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นการเปลี่ยนแปลงที่พิเศษ นั่นคือ เป็นการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยทหาร และได้รับการสนับสนุนบางส่วนจากประชาชน มีบางส่วนที่ไม่แสดงความคิดเห็นแต่อยากเห็นการยุติของรัฐบาลเดิมซึ่งมีส่วนสร้างความเสียหาย ทั้งในทางการเมือง การปกครองบริหาร รวมทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม และมีข่าวเรื่องทุจริตอย่างดาษดื่น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ต่างจากเหตุการณ์เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 เพราะในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นการขับไล่รัฐบาลทหารโดยประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย
ทั้งสองกรณีที่กล่าวมาเบื้องต้นคือกรณีเรื่องความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็นประชาธิปไตย และการเปลี่ยนรัฐบาลโดยกลุ่มบุคคลที่ต่างกันเปรียบเทียบกับกรณี 14 ตุลาคม 2516 และ 19 กันยายน 2549 ทำให้เห็นถึงความเป็นอนิจจังทางการเมืองของสังคมไทย นั่นคือ วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ประชาชนขับไล่รัฐบาลทหาร วันที่ 19 กันยายน 2549 ทหารบวกกับประชาชนขับไล่รัฐบาลประชาธิปไตยที่บริหารบ้านเมืองโดยมีแนวโน้มจะนำไปสู่ความเสียหายอย่างหนักต่อสังคมทั้งระบบ
คำถามใหญ่ที่สุดขณะนี้ก็คือ ในการร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีต่อไปในอนาคตนี้จะร่างเพื่อสถาปนาทางการเมืองแบบใดขึ้นมา คงหนีไม่พ้นที่จะเป็นประชาธิปไตย แต่จะเป็นประชาธิปไตยแบบไหน เป็นแบบเต็มใบโดยมีคุณลักษณะและหลักการอย่างเต็มสมบูรณ์ หรือต้องผสมผสานโดยคำนึงถึงความเป็นจริงในสังคมในระดับหนึ่ง แต่ต้องไม่ขัดต่อหลักการพื้นฐานของระบบประชาธิปไตย การผสมผสานกระทำได้ไม่ง่ายนัก และเป็นประเด็นที่สังคมไทยทั้งสังคมต้องช่วยกันแสดงความคิดเห็น ความผิดพลาดในอดีตต้องนำมาเป็นบทเรียน อุดมคติที่เกินเลยจะเปล่าประโยชน์เพราะปฏิบัติไม่ได้ การเล็งผลปฏิบัติแต่เพียงอย่างเดียวจนมองข้ามหลักการก็จะเป็นการละเมิดปรัชญาระบบประชาธิปไตยโดยตรง และนี่คือข้อคำนึงที่มองข้ามไม่ได้โดยผู้ร่างรัฐธรรมนูญ