ปัญหาการขาดแคลนอาหารของโลก บทบาทและความสำคัญของอินเดียในอนาคต
จากประชากรโลกมากกว่า 7 พันล้านคน มีเพียงร้อยละ 14 เท่านั้นที่ใช้ชีวิตอยู่โดยมีมาตรฐานสุขอนามัยและคุณภาพการบริโภคอาหารที่ดี ประชากรส่วนที่เหลือของโลกนั้นยังต้องเผชิญกับปัญหาสุขอนามัย สภาวะขาดแคลนอาหาร และขาดแคลนกำลังซื้อสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเพียงพอกับความต้องการ
ความต้องการผลผลิตทางการเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ในอินเดียมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการอาหารที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูปที่ได้มาตรฐาน ความต้องการที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ทำให้ราคาของสินค้าเกษตรกรรมและโภคภัณฑ์มีการปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกลุ่มผู้บริโภคซึ่งเดิมมีกำลังซื้อน้อยอยู่แล้วให้มีความสามารถในการซื้อลดลงไปอีกจนไม่สามารถเข้าถึงสินค้าเกษตรกรรมที่มีคุณภาพดีเหล่านั้นได้ ประกอบกับสภาพการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่เห็นได้อย่างชัดเจนและส่งผลกระทบมากขึ้นในทุกๆ ปี เช่น แผ่นดินไหว ความแห้งแล้ง อุทกภัย หรือการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายและทวีความรุนแรงขึ้นในแต่ละปี สร้างปัญหาเรื่องการขนส่ง ความอดอยาก และอาหารเป็นพิษ นอกจากนี้ สินค้าที่ได้จากการผลิตโดยเกษตรกร กว่าที่จะผ่านกระบวนการต่างๆ จนออกสู่ตลาดและมาถึงผู้บริโภคในที่สุดนั้น มีการสูญเสียสินค้าถึงร้อยละ 40 หรือมากกว่าหนึ่งในสามของสินค้าที่มีการผลิตได้ ทำให้โอกาสสำหรับประชากรที่รายได้ต่ำหรือยากจนที่จะสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพดีลดต่ำลงเรื่อยๆ
ปัญหาเรื่องของความต้องการสินค้าเกษตรกรรมและโภคภัณฑ์จึงกลายเป็นปัญหาอันดับหนึ่งที่รัฐบาลของอินเดียพยายามที่จะแก้ไข โดยในปี2011 อินเดีย จีน และบราซิล ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการประชุม G20 และ World Economic Forum เนื่องจากเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตสินค้าสูง จากการประชุมของประเทศกลุ่ม G20 ในปี 2011 เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในปี 2012 จากสภาวะอากาศและภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น (โดยเฉพาะปัญหาฝนแล้ง) ราคาสินค้าที่สูงขึ้น การแพร่กระจายของโรคระบาด และคุณภาพสินค้าที่ต่ำลง ทำให้มีการวางโครงการเพื่อความร่วมมือของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ในระบบการผลิตสินค้าสำหรับอาหารและสินค้าเกษตรกรรมในเรื่องคุณภาพของสินค้าและความปลอดภัย รวมทั้งยังรวมถึงการผลิตโดยคำนึงถึงการประหยัดทรัพยากรและลดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตที่ในขณะเดียวกันก็จะต้องช่วยในการประหยัดต้นทุนและสามารถปรับให้ราคาสินค้าอยู่ในระดับที่ผู้บริโภคทุกกลุ่มเข้าถึงได้เพื่อเป็นการรับมือกับปัญหาใหม่ๆ ที่รัฐบาลจะต้องเจอหลังจากนี้ซึ่งได้แก่ ปัญหาการขาดแคลนน้ำและพื้นที่เพาะปลูก ปัญหาการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของโรคและศัตรูพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการเสื่อมสภาพของดินซึ่งทำให้พื้นที่เพาะปลูกทั่วโลกลดลงไปถึงปีละ 12 ล้านเฮกเตอร์ โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการไถกลบหน้าดินหลังการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดี และระบบการผลิตที่เกิด Organic waste และ Chemical Waste ในปริมาณมาก
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสถานการณ์ของสินค้าเกษตรกรรมและสินค้าอาหารของอินเดีย คือ พฤติกรรมการบริโภคของชาวอินเดียที่เปลี่ยนแปลงไป ช่องว่างระหว่างชนชั้น ระดับรายได้ และความรู้ของประชากร การเสื่อมสภาพของพื้นที่เพาะปลูกและทรัพยากรธรรมชาติ และผลผลิตทางการเกษตรที่ลดลงทั้งในด้านปริมาณ คุณภาพ และความปลอดภัย
ในอนาคต รัฐบาลอินเดียมีความพยายามที่จะแก้ไขโดยการออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนในการเกษตรและการผลิตอาหารแบบยั่งยืน การลงทุนในด้านข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อลดความเสียหายของสินค้าเกษตรกรรม และรัฐบาลมีนโยบายที่จะให้ความสำคัญมากที่สุดกับผู้บริโภคที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากที่สุดซึ่งก็คือผู้มีรายได้ต่ำ รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกับเอกชนในการสร้างระบบตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ในขณะที่ประเทศต่างๆ มีการบริโภคเพิ่มขึ้น จนปริมาณสินค้าในตลาดไม่เพียงพอต่อความต้องการ และการเพิ่มกำลังการผลิตต่อไปอยู่ในปริมาณที่ยากที่จะรักษาสมดุลของทรัพยากรที่ลดลงอย่างรวดเร็ว อินเดียยังคงเป็นประเทศที่มีกำลังในการผลิตสินค้าเกษตรกรรมที่สูงมาก และด้วยปริมาณการผลิตที่แท้จริงในแต่ละปีของอินเดียจะช่วยให้สามารถรักษาสมดุลของการบริโภคสินค้าเกษตรกรรมในตลาดโลกไว้ได้ อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงต้องใช้เวลาและการพัฒนาอีกมากมายในทุกๆ ด้านเพื่อที่จะรักษาไม่ให้ผลผลิตทางการเกษตรต้องสูญเสียไปในกระบวนการที่ไม่ได้มาตรฐานถึงร้อยละ 40 เช่นในปัจจุบัน
นายศศินทร์ สุขเกษ
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
พฤษภาคม 2555
สถานการณ์การขาดแคลนอาหารทั่วโลกมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี 2014 โดยโครงการอาหารโลก องค์การสหประชาชาติเปิดเผยว่า ในปี 2019 ประชากรโลกกว่า 135 ล้านคนกำลังเข้าสู่ภาวะอดอยาก สะท้อนถึงวิกฤตความมั่นคงทางอาหารที่มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ซึ่งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ก็เป็นอีกปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มแรงกดดันต่อวิกฤตความมั่นคงทางอาหารเช่นกัน เนื่องจากการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพในหลายประเทศตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2020 ที่ทำให้เกิดการปิดประเทศและจำกัดการเคลื่อนย้ายทั้งสินค้าและแรงงานระหว่างประเทศหรือระหว่างเมือง จนนำไปสู่ปัญหาการขาดช่วงของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการจำกัดการส่งออกและนำเข้าอาหารในบางประเทศ โดยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังยืดเยื้อจะยังคงเป็นความเสี่ยงต่อปัญหาการขาดแคลนอาหารในปี 2021 เช่นกัน
ความมั่นคงทางอาหารคืออะไร?
ความมั่นคงทางอาหาร หรือ Food Security ตามนิยามขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) หมายถึง สภาวะที่คนมีความสามารถทั้งทางกายภาพและทางเศรษฐกิจในการเข้าถึงอาหารที่เพียงพอ ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการ ในทุกขณะเวลา ทั้งนี้ FAO ได้แบ่งองค์ประกอบของความมั่นคงทางอาหารเป็น 4 ด้าน ได้แก่
1. การมีอาหารเพียงพอ (Food Availability): การมีอาหารในปริมาณที่เพียงพออยู่อย่างสม่ำเสมอ
2. การเข้าถึงอาหาร (Food Access): การมีทรัพยากรที่เพียงพอในการได้มาซึ่งอาหาร
3. การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Food Utilization): การมีความเข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จากอาหารได้อย่างเหมาะสม และสามารถจัดเตรียมอาหารให้ถูกสุขอนามัย
4. การมีเสถียรภาพด้านอาหาร (Food Stability): การเข้าถึงอาหารได้อย่างเพียงพอตลอดเวลา
FAO เปิดเผยว่า ในปี 2019 ประชากรโลกกว่า 2 พันล้านคน ได้เผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหาร หรือคิดเป็นประมาณ 25.9% ของประชากรโลก ซึ่งสัดส่วนของประชากรโลกที่เผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2014 ทุกภูมิภาคทั่วโลกยกเว้นอเมริกาเหนือและยุโรป โดยเอเชียมีประชากรที่เผชิญความไม่มั่นคงทางอาหารมากที่สุดถึง 1 พันล้านคน อย่างไรก็ดี แอฟริกามีสัดส่วนประชากรที่เผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารสูงที่สุดที่ 51.6% ของประชากรในภูมิภาค ขณะที่สัดส่วนของเอเชียอยู่ที่ประมาณ 22.4% ทั้งนี้ภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียนมีสัดส่วนประชากรที่เผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดโดยเพิ่มจาก 22.9% ในปี 2014 ไปอยู่ที่ 31.7% ในปี 2019
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารคืออะไร?
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารไม่ได้มีเพียงความยากจนเท่านั้น แม้ความยากจนจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ครัวเรือนไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างเพียงพอ แต่ครัวเรือนที่มีรายได้สูงกว่าเส้นความยากจน (World Bank ประกาศเส้นความยากจนไว้ที่ 1.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันในปี 2015) ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารเช่นกัน โดยปัจจัยส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารของประชากรโลก ได้แก่
1. การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรโลก
2. ภาวะโลกร้อนที่ส่งผลโดยตรงต่อการลดลงของพื้นที่ทำการเกษตร
3. การขาดแคลนน้ำที่เป็นปัจจัยการผลิตสำคัญในการเกษตร
4. การขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้น
5. พฤติกรรมการบริโภคที่ก่อให้เกิดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร เช่น พื้นที่ทำการเกษตรที่ลดลงจากการขยายของเขตเมือง ปัญหาดินที่เสื่อมโทรมจากการทำการเกษตรที่มากเกินไป รวมถึงการครองตลาดของบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตร ที่ทำให้เกษตรกรรายย่อยมีข้อจำกัดในการผลิตและขายสินค้าเกษตร และราคาสินค้าเกษตรที่ถูกกำหนดจากบริษัทใหญ่ นอกจากนี้ การที่บริษัทใหญ่เพียงไม่กี่บริษัทควบคุมสัดส่วนปริมาณการผลิตอาหารที่มากเกินไปจะเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหาร ถ้าหากว่าบริษัทใหญ่ปฏิเสธที่จะส่งอาหารไปจำหน่ายในบางภูมิภาค หรือประสบปัญหาในกระบวนการผลิต
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลอย่างไรต่อความมั่นคงทางอาหารในระดับโลก?
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้รัฐบาลทั่วโลกมีการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศหรือระหว่างเมือง ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังการจำกัดการขนส่งสินค้า (การขนส่งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ) การเคลื่อนย้ายแรงงาน และนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ถูกจำกัด โดยภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในเดือนมีนาคม 2020 ประเทศส่งออกสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร จีน และเนเธอร์แลนด์ มีการใช้มาตรการควบคุมการเดินทางข้ามพรมแดนทั้งสิ้น ส่งผลกระทบต่อการส่งออกอาหารของประเทศเหล่านี้ไปยังตลาดอาหารโลก รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศที่ถูกจำกัดจากมาตรการจำกัดการเดินทางข้ามประเทศยังทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร นอกจากนี้วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังส่งผลให้มีการปิดโรงงานผลิตอาหาร ทั้งนี้กลุ่มประเทศที่จะได้รับผลกระทบและเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงทางอาหารในช่วงการแพร่ระบาดมาก ได้แก่ ประเทศที่ไม่สามารถผลิตอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของคนในประเทศและต้องพึ่งการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ยากจนหรือประเทศหมู่เกาะเล็ก ๆ ที่สูญเสียรายได้หลักจากการท่องเที่ยวที่หยุดชะงัก
ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอาหารที่หยุดชะงักจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้น จะยิ่งกดดันราคาอาหารในตลาดโลกให้สูงขึ้น โดยราคาอาหารโลก (Food Price Index) ของ FAO สูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน และแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี ณ เดือนธันวาคม ปี 2020 (รูปที่ 1) ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 กลุ่มอาหารที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูง ได้แก่ กลุ่มน้ำมันพืช กลุ่มธัญญพืช กลุ่ม dairy product ขณะที่ราคาอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ลดลง (รูปที่ 2) ทั้งนี้ราคาอาหารมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2021 ซึ่งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อรายจ่ายในการซื้ออาหารของครัวเรือนทั่วโลก
นอกจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะกระทบการนำเข้า-ส่งออกอาหาร และปัจจัยการผลิตอาหารแล้ว รายได้ที่ลดลงของประชากรก็ถูกกระทบโดยการแพร่ระบาดของ COVID-19 จากการหดตัวของเศรษฐกิจเช่นกัน โดยธนาคารโลกคาดว่า การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะทำให้ประชากรโลกประมาณ 88-115 ล้านคนเข้าสู่ความยากจนขั้นรุนแรง (Extreme poverty) ในปี 2020 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 150 ล้านคนภายในปี 2021 ส่งผลให้ความยากจนขั้นรุนแรงทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี โดย FAO คาดการณ์ว่า ผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งในด้านการขนส่ง ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอาหาร และรายได้ของประชากร จะทำให้จำนวนประชากรโลกที่ขาดสารอาหารเพิ่มขึ้นที่ราว 83 – 132 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่จะมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ปัญหาการขาดความมั่นคงทางอาหารจะนำไปสู่รายจ่ายด้านสุขภาพที่สูงขึ้นของทั้งครัวเรือนและภาครัฐ และส่งผลต่อเนื่องไปยังทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่ได้รับการพัฒนาทักษะอย่างเต็มประสิทธิภาพจากสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอจากการขาดสารอาหาร
สถานการณ์ความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทยน่ากังวลหรือไม่?
FAO มีการเผยแพร่ข้อมูล Prevalence of Undernourishment (PoU) หรือสัดส่วนประชากรที่ขาดแคลนสารอาหารต่อจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งสามารถสะท้อนถึงความเสี่ยงที่แต่ละประเทศจะเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารได้ ในปี 2018 ประเทศไทยมีสัดส่วน PoU อยู่ที่ 9.3% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2016 (รูปที่ 3) และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 8.9% ขณะที่กลุ่มประเทศรายได้สูงมี PoU อยู่ที่เพียง 2.7% นอกจากนี้ จากข้อมูล Global Food Security Index (GFSI) ที่จัดทำโดย The Economist Intelligence Unit ในปี 2019 พบว่า ประเทศไทยมีระดับความมั่นคงทางอาหารอยู่ในอันดับที่ 52 จากทั้งหมด 113 ประเทศ ด้วยคะแนน 65.1 (รูปที่ 4) ทั้งนี้จากข้อมูล PoU และ GFSI จะสังเกตได้ว่า ปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารของไทยนั้นยังไม่ถึงขั้นที่รุนแรง แต่ขณะเดียวกันไทยก็ยังมีประชากรที่ขาดแคลนสารอาหารในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารอาหารที่เพียงพอและหลากหลายของประชากรในประเทศ
การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารอาหารที่เพียงพอของไทยนั้น อาจเริ่มจากนโยบายภาครัฐที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงอาหารของคนไทย เช่น การสนับสนุนเกษตรกรให้ผลิตและคงความหลากหลายของอาหารเพื่อให้ผู้บริโภคเลือกบริโภคได้มากขึ้น สนับสนุนให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจด้านโภชนาการที่มากขึ้น รวมไปถึงมาตรการที่ช่วยประคับประคองรายได้ของกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะเผชิญความไม่มั่นคงทางอาหารมากกว่าครัวเรือนกลุ่มอื่น ๆ เป็นต้น
เผยแพร่ในการเงินธนาคาร คอลัมน์ เกร็ดการเงิน วันที่ 22 ก.พ. 2021