เบื่องาน อยากลาออก ไม่อยากทำอะไรเลย อาจเป็นสัญญาณหมดไฟในการทำงาน จะรับมืออย่างไร
แม้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เริ่มผ่อนคลายมากขึ้นในช่วงเวลานี้ แต่หลายองค์กรยังคงให้พนักงาน Work from Home ต่อไปอีกระยะ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการทำงานที่บ้านทำให้เกิดความเครียด ไม่ว่าจะเป็นการโหมงานหนักโดยไม่ได้หยุดพัก ต้องจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ Tablet หรือโทรศัพท์มือถือมากกว่าปกติ และมีอยู่ไม่น้อยที่รู้สึกเหนื่อยกว่าการทำงานในออฟฟิศอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เกิดความเหนื่อยล้า เบื่อหน่ายในการทำงานหรือเรียกอีกอย่างว่า Burnout Syndrome นั่นเอง
เครียดเรื้อรังก่อ Burnout Syndromeภาวะ Burnout Syndrome หรือหมดไฟในการทำงาน เกิดจากการทำงานหนักมากเกินไปจนเกิดความเครียดสะสมเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ จากที่เคยสนุก มีความตั้งใจ หรือมีแรงบันดาลใจในการทำงาน ก็กลับกลายเป็นรู้สึกเหนื่อยล้า และไม่อยากทำงาน ไปจนกระทั่งมองการทำงานในแง่ลบ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถเพียงพอ และไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน รวมถึงรู้สึกเหินห่างจากคนอื่นไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงาน หรือลูกค้า
1. ระยะฮันนีมูน (The Honeymoon) เป็นช่วงเริ่มต้นของการทำงาน ในระยะนี้เราจะมี Passion ในการทำงานมาก ตั้งใจและเสียสละเพื่องานอย่างเต็มที่ รวมถึงพยายามปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงาน และองค์กรอีกด้วย
2. ระยะรู้สึกตัว (The Awakening) เมื่อเราทำงานไปสักพัก บางคนอาจเริ่มรู้สึกว่าการทำงานไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ทั้งในแง่ของผลตอบแทน ความคาดหวังในตำแหน่งหน้าที่การงาน รวมถึงการเป็นที่ยอมรับ ทำให้เกิดความขับข้องใจและเหนื่อยล้าจนรู้สึกว่าชีวิตดำเนินอย่างผิดพลาด และไม่สามารถจัดการได้
3. ระยะไฟตก (Brownout) ความรู้สึกในแง่ลบและความเหนื่อยล้าเรื้อรังนั้น ส่งผลให้อารมณ์หงุดหงิดง่ายขึ้นอย่างชัดเจน จิตใจจึงตอบสนองด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อหนีความขับข้องใจ เช่น ใช้จ่ายเกินความจำเป็น ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานเริ่มลดลง จนเริ่มแยกตัวจากเพื่อนร่วมงาน รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์องค์กรของตนเอง
4. ระยะหมดไฟเต็มที่ (Full Scale of Burnout) ในระยะนี้เราจะเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง ล้มเหลว ไปจนกระทั่งสูญเสียความมั่นใจในตนเองไป ซึ่งเกิดจากการปล่อยให้ตัวเองอยู่ในระยะไฟตกนานเกินไปและไม่ได้จัดการกับจิตใจตนเอง
5. ระยะฟื้นตัว (The Phoenix Phenomenon) เมื่อเราเริ่มจัดการกับจิตใจตนเอง โดยการหาโอกาสให้ตนเองได้ผ่อนคลายและพักผ่อนอย่างเต็มที่ เช่น หากิจกรรมยามว่างอย่างดูหนังฟังเพลง ไปเข้าคลาสเรียนวาดรูประบายสี หรือจะเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข (เอ็นโดรฟิน, โดพามีน และ เซโรโทนิน) แถมสุขภาพดีอีกด้วย รวมถึงความคาดหวังและเป้าหมายในการทำงานให้ตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น ทำให้ความเครียดและความกดดันในการทำงานลดลง จนรู้สึกมีแรงบันดาลใจในการทำงานอีกครั้ง
6 คำถามเช็ก Burnout Syndrome
คำถามทั้ง 6 ข้อนี้จะเป็นตัวช่วยบอกว่าคุณอยู่ในภาวะหมดไฟในการทำงาน
1 รู้สึกเครียดอย่างรุนแรง
มีอาการอ่อนเพลียหรือนอนไม่หลับเนื่องจากการทำงานหรือไม่
2 กลัวที่จะต้องทำงานทุกวันหรือไม่ เกิดอาการกังวลในทุก ๆ เช้าที่ต้องทำงาน
3 กังวลเกี่ยวกับการทำงานแม้จะอยู่นอกเวลางานหรือไม่
4 เคยรู้สึกดูถูกหรือมองในทางลบอย่างรุนแรงหรือไม่ เช่น เหยียดหยามต่องานและเพื่อนร่วมงาน หรือต้องการจะห่างจากเพื่อนร่วมงาน
5 รู้สึกว่างานที่ง่ายกลายเป็นงานที่ยากหรือไม่
6 พบปัญหาทางร่างกายมากขึ้นหรือไม่ เช่น ปวดหัวมากขึ้น เหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น
Burnout Syndrome แก้ได้
เมื่อทราบว่าตนเองอยู่ในภาวะหมดไฟในการทำงาน ขอให้ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะทุกคนจะได้กลับมาใส่ใจตัวเองมากขึ้น และแน่นอนว่ามีหลายสิ่งที่เราสามารถทำเพื่อให้ความเครียดที่ก่อให้เกิดภาวะนี้คลายลงได้ ได้แก่
1 การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและมีคุณภาพ
2 การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นการคาร์ดีโอที่ให้หัวใจและหลอดเลือดได้รับการบริหาร ซึ่งมีผลการวิจัยว่าสามารถลดอาการเหนื่อยหน่ายอย่างมีนัยสำคัญในเวลาเพียง 4 สัปดาห์
3 การทำสมาธิแบบฝึกสติ ซึ่งในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่ช่วยในเรื่องนี้ โดยจะมีบทฝึกทำสมาธิเป็นหมวดหมู่ เช่น หมวดผ่อนคลายความเครียด หมวดคลายความกังวล หรือหมวดรับมือกับความเจ็บปวด เป็นต้น ซึ่งแค่ฝึกเพียงอย่างน้อย 10 นาทีต่อวัน ก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายและจิตใจได้เช่นกัน
4 การนั่งสมาธิโดยการฝึกหายใจ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการทำสมาธิที่ช่วยให้ระบบการหายใจได้ออกกำลัง วิธีการคือหายใจเข้า 4 ครั้งและหายใจออก 4 ครั้ง โดยตั้งสติเพ่งความสนใจอยู่ที่ลมหายใจ เมื่อหายใจเข้านับ 1 ถึง 8 และหายใจออก นับถึง 1 ถึง 8 แล้วค่อยผ่อนลมออกทางปากช้า ๆ เป็นต้น
...ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือการรู้อย่างแท้จริงว่าตนเองอยู่ในภาวะหมดไฟในการทำงานหรือภาวะซึมเศร้า เนื่องจากมีหลายอาการมีความคล้ายคลึงและทับซ้อนกันอยู่ เพื่อให้แน่ใจควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชโดยเฉพาะที่โรงพยาบาลทั่วไปหรือคลินิกทางด้านจิตเวชโดยเฉพาะก็ได้เช่นกัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการด้านสุขภาพของกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิตได้ที่ //www.krungthai-axa.co.th/th/HealthServices
แหล่งที่มาของข้อมูล
• คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
//www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1385
• กรมสุขภาพจิต
//www.dmh.go.th/news/view.asp?id=2270
•
โรงพยาบาลพญาไท
//1th.co/go41c41c41c