ตอนที่ 38 " ...เมื่อห้างฯ ล้มละลาย ผู้จัดการต้องล้มฯ ตายตกตามกันไป... แต่บริษัทจำกัด กรรมการไม่ต้องล้มละลายตามห้างฯ...
Posted by ลุยธุรกิจ รีเทิร์น on Monday, August 24, 2015username/password ไม่ถูกต้อง กรุณาทำการกรอกใหม่
session ของการเข้าสู่ระบบได้สิ้นสุดแล้ว กรุณา reload หน้าเว็บอีกครั้งและเข้าสู่ระบบใหม่อีกครั้ง
ท่านได้เข้าสู่ระบบอยู่แล้ว กรุณาออกจากระบบก่อนหากท่านต้องการเปลี่ยน user
การล้มละลายเกิดขึ้น โดยมีเจ้าหนี้ฟ้องร้องต่อศาล ว่าลูกหนี้มีหนี้สินคงค้างจำนวนมาก เกินกว่าที่จะบริหารจัดการ หรือกระทบต่อการประกอบธุรกิจของลูกหนี้ ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถใช้หนี้แก่เจ้าหนี้ได้
โดยตามกฎหมายแล้ว มีข้อกำหนดชัดเจนคือ ลูกหนี้ที่เป็นนิติบุคคล ต้องมีหนี้สินไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท และ 1 ล้านบาทสำหรับบุคคลธรรมดา จึงเข้าข่ายที่จะถูกฟ้องล้มละลาย
ซึ่งเมื่อเกิดการฟ้องล้มละลาย และศาลพิจารณาแล้วว่า ลูกหนี้ไม่สามารถชดใช้หนี้ได้
กระบวนการต่อมาที่จะเกิดขึ้นเรียกว่า “พิทักษ์ทรัพย์”
พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดูแล และรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ มาชดใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ผ่านการยึดหรืออายัด แล้วนำมาขายทอดตลาด โดยที่ลูกหนี้ไม่สามารถทำธุรกรรมใด ๆ กับทรัพย์สินได้
ในขณะที่การฟื้นฟูกิจการนั้น เกิดขึ้นหลังจากมีการยื่นคำร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการ
โดยมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อรักษาสภาพการดำเนินกิจการของลูกหนี้
หากศาลเห็นว่ายังพอมีช่องทางที่ลูกหนี้สามารถชดใช้หนี้สินให้แก่เจ้าหนี้ได้
โดยมีเงื่อนไขคือ บริษัทขนาดใหญ่มีหนี้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
และบริษัทขนาดกลางและเล็ก มีหนี้ไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท
สำหรับการจะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการได้หรือไม่นั้น
ศาลจะพิจารณา จากแผนการฟื้นฟูกิจการที่ถูกจัดทำขึ้น
หากศาลเห็นว่า มีโอกาสที่จะปฏิบัติได้สำเร็จตามแผน ก็จะออกคำสั่งฟื้นฟูกิจการแก่ลูกหนี้
หลังจากเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู แล้วยังไงต่อ ?
ผลจากคำสั่งฟื้นฟูกิจการคือ การพักการชำระหนี้
หรือก็คือการรักษาสภาพคล่องของกิจการให้ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ในช่วงเวลาที่พักชำระหนี้ ลูกหนี้ก็สามารถดำเนินกิจการได้ตามปกติ
เพียงแต่ไม่สามารถ ทำธุรกรรมที่จะเพิ่มภาระ หรือข้อผูกมัดต่อทรัพย์สินของลูกหนี้ได้
เช่น ห้ามจำหน่าย ห้ามโอน ห้ามให้เช่า หรือห้ามก่อหนี้เพิ่มเติมแล้ว
ยกเว้นศาลอนุญาตให้ทำ หรืออยู่ในแผนฟื้นฟูที่ศาลอนุมัติ
ตัวอย่างบริษัทที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการที่เรารู้จักกันดี ก็คือ บริษัท การบินไทย จำกัด
เนื่องจากภาวะขาดทุนของบริษัท ที่สะสมมานานหลายปีติดต่อกัน ทำให้มีหนี้สะสมอยู่แสนล้านบาท
เมื่อพิจารณาจากรายได้ของการบินไทย จึงเป็นเรื่องยากที่การบินไทยจะชดใช้หนี้ที่มีอยู่ได้
สุดท้ายแล้ว การบินไทยก็ได้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และทำให้เกิดการพักชำระหนี้เกิดขึ้น
ซึ่งตามแผนการฟื้นฟูที่ถูกจัดทำร่วมกัน หลายฝ่ายก็ยินยอมให้มีการกู้ยืมเงินบางส่วน เพื่อใช้ในการฟื้นฟูกิจการ
จากที่กล่าวไปจะเห็นได้ว่ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ ย่อมดีกว่ากระบวนการล้มละลาย
เพราะการฟื้นฟูกิจการนั้น ทำให้ลูกหนี้สามารถดำเนินกิจการ และเปิดโอกาสให้มีการปรับโครงสร้างองค์กร กระบวนการทำงาน และแผนการดำเนินธุรกิจ เพื่อความอยู่รอดขององค์กร
��ػ��� ����繡�����ú���ѷ����դ�������§�����ҧ�Ф�Ѻ �����Ҩ��ͧ�Ѻ�Դ��ͺؤ������������ҷӸ�áԨ�Ѻ����ѷ ��з�駵�ͺ���ѷ��м������鹢ͧ����ѷ�ͧ���� �Ҩ���·���Թ ���·������ ���˹觴������ ������Ѻ�Դ�ͺ��������ѹ�������������������¤�Ѻ �ѧ��� ��ŧ�����ͪ�����͡�������� ������ͺ�ͺ ��ҹ���ѡ�Դ�֧�Ф�Ѻว่า “หุ้น” นั้นคือ ตราสารที่ออกให้กับผู้ถือ ซึ่งก็คือตัวเราหรือใครก็ได้ที่เอาเงินไปลงทุนในบริษัทนั้นๆ ดังนั้นจึงทำให้เรามีฐานะเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งจะมีส่วนได้เสียและสิทธิในทรัพย์สินหรือรายได้ของบริษัท และตลอดจนการได้รับเงินปันผลมาด้วยหากกิจการบริหารงานแล้วมีกำไร ซึ่งจะมากหรือน้อยก็แล้วแต่นโยบายของบริษัท แต่หุ้นก็ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ หุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ โดยทั้งสองประเภทก็มีส่วนได้เสียไม่เหมือนกัน เราไปดูหุ้นทั้งสองประเภทกันดีกว่าว่าเป็นแบบไหนกันบ้าง
คือ ตราสารที่บริษัทมหาชนต่างๆ ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน ก็เลยนำหุ้นของบริษัทตัวเองมาขายให้บุคคลทั่วไปได้ซื้อหาไว้เป็นเจ้าของ โดยผู้ถือหุ้นสามัญจะมีสิทธิร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่ถือไว้ เช่น การออกเสียงในการเพิ่มทุน การจ่ายเงินปันผล หรือการควบรวมกิจการ เป็นต้น อีกทั้งผู้ถือหุ้นสามัญยังมีสิทธิได้รับเงินปันผลหากบริษัทมีกำไร มีโอกาสได้รับส่วนต่างของราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น หรือแม้แต่มีโอกาสได้รับสิทธิในการจองซื้อหุ้นใหม่เมื่อบริษัทที่เรามีหุ้นอยู่นั้นทำการเพิ่มทุน
- หุ้นบุริมสิทธิ์ (Preferred Stock)
เป็นตราสารแสดงความเป็นเจ้าของในกิจการหรือบริษัทเหมือนกับหุ้นสามัญ แต่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์ไม่มีสิทธิที่จะออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้น แต่ก็มีสิทธิที่จะได้รับเงินปันผลเช่นเดียวกันกับผู้ถือหุ้นสามัญ อาจจะมากหรือน้อยกว่าก็แล้วแต่นโยบายของบริษัท แต่ที่สำคัญคือ หากบริษัทเลิกกิจการไปแล้ว และเมื่อมีเงินเหลือเพียงพอหลังจากจ่ายชำระคืนให้กับเจ้าหนี้หมดทุกรายแล้ว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับเงินส่วนที่เหลือก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ
แต่อย่าลืมหุ้นอีกประเภทหนึ่ง คือ หุ้นกู้ ที่บริษัทได้มีการระดมเงินทุนจากประชาชนทั่วไปเช่นเดียวกับหุ้นสามัญ แต่สถานะของผู้ถือหุ้นกู้จะถือเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท ผู้ถือหุ้นกู้ไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพราะไม่ได้เป็นเจ้าของ และผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับผลตอบแทนจากบริษัทที่ออกหุ้นกู้ คือ ดอกเบี้ย นั่นเอง
ดังนั้นกับคำถามที่ว่าหากเราถือหุ้นของบริษัทที่กำลังจะเลิกกิจการ ไม่ว่าจะเลิกกิจการด้วยเหตุผลทางกฎหมายหรือด้วยความเต็มใจของผู้ถือหุ้นทั้งหมด สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาสำหรับผู้ถือหุ้นประเภทต่างๆ
คือ เมื่อบริษัทแจ้งความประสงค์และจดทะเบียนเลิกกิจการกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเรียบร้อยแล้ว บริษัทก็จะแต่งตั้งผู้ชำระบัญชี เพื่อมาทำการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดของบริษัท หากมีลูกหนี้อยู่ก็ตามเก็บหนี้มาให้ครบ ถ้ามีทรัพย์สินที่ไม่ต้องการก็ต้องนำออกขายให้หมด
จากนั้นจะต้องนำเงินที่มีทั้งหมดมาจ่ายให้เจ้าหนี้การค้าก่อน ถ้าบริษัทมีการออกหุ้นกู้ที่ยังไม่ครบกำหนดชำระเงินคืนก็จะต้องนำเงินไปคืนให้กับผู้ถือหุ้นกู้เป็นลำดับถัดมา เหลือเงินเท่าไรก็ค่อยแบ่งคืนให้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ สุดท้ายถ้ายังมีเงินเหลือก็ถึงจะให้กับผู้ถือหุ้นสามัญ ซึ่งก็คือ เราหรือคนอื่นๆ ที่มีการซื้อหุ้นของบริษัทนั้นไว้นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรก่อนที่บริษัทจะปิดกิจการไปก็มักจะมีข้อมูลข่าวสารออกมาเป็นระยะๆ ให้เราเลือกตัดสินใจขายหุ้นทิ้งในราคาที่อาจจะไม่สวยหรูสักเท่าไร แต่ก็อาจจะดีกว่าถือไว้จนเลิกกิจการแล้วไม่ได้อะไรเลย