Apple watch series 5 ข้อเสีย

หลังจากที่ Apple เปิดตัว Apple Watch Series 5 บนเวทีเมื่อช่วงเดือนกันยายน สิ่งหนึ่งที่ผมทำทันทีก็คือประกาศขายตัว Series 3 ที่อายุเกือบสองปีในทันที เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นเวลาที่พอดีในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องราคาของ Series 3 ที่จะตกลงไปมากกว่านี้ถ้ารอนาน และ Series 5 ก็มีหลายๆอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับตัวเองด้วย เมื่อถึงวันที่ 25 ตุลาคมก็ไปสอยรุ่น Nike 44mm ดำ มาหนึ่งเครื่องและต่อจากนี้คือรีวิวสั้นๆว่าทำไมมันอาจจะใช่ (และไม่ใช่) สมาร์ทวอชสำหรับคุณ

1. Apple Ecosystem

     ถือเป็นจุดแข็งของ Apple สำหรับฟีเจอร์นี้ เพราะสามารถทำงานร่วมกับ iPhone ได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง ทั้งการแจ้งเตือน หรือลูกเล่นต่างๆ ที่ทำงานได้อย่างลื่นไหล รวมถึงปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้หลากหลายมากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าคุณใช้ iPhone แล้วอยากได้สมาร์ตวอชที่มาทำงานคู่กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังไงแล้ว Apple Watch ก็นับเป็นตัวเลือกที่เกิดมาคู่กันอย่างไม่ต้องสงสัย 


2. ขนาดตัวเครื่อง / หน้าจอ

     ส่วนตัวคิดว่า Apple น่าจะทำได้ดีกว่านี้ เพราะถ้าพูดถึงขนาดของตัวเรือนโดยเฉพาะความหนาแล้ว หลังจากที่ได้ลองสวมใส่ พบว่าขนาดของมันมีขนาดเท่าเดิม อีกทั้งไซส์ของหน้าปัดที่ใหญ่ขึ้นกว่าตัว Series 3 ก็จริง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่า "ว้าว" อะไรขนาดนั้น  

3. Always-On Display


     หนึ่งในไม่กี่ฟีเจอร์ที่ทำให้ Series 5 แตกต่างจาก Series 4 โดย Always-On Display เป็นฟีเจอร์ที่หน้าจอติดตลอดเวลา ไม่ต้องยกข้อมือขึ้นมาเพื่อให้หน้าจอสว่าง (อันที่จริง หากใครเคยใช้สมาร์ตโฟน Samsung ก็คงจะทราบดีว่าเทคโนโลยีนี้มีมาก่อนแล้ว) แน่นอนว่าข้อดีสำหรับฟีเจอร์นี้ช่วยให้เราเหลือบมองเวลาได้ง่ายขึ้น หรือระหว่างขับรถเมื่อมีข้อมูลสำคัญแจ้งเตือนก็สามารถดูได้เลย ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญ อย่างค่าการออกกำลังกาย อัตราการเต้นของหัวใจ และอื่นๆ เราสามารถเปิด-ปิดฟังก์ชันนี้ได้ เพื่อป้องกันคนอื่นมองเห็น  

4. Compass (เข็มทิศ)


     ฟีเจอร์ที่ถูกใส่เข้ามาใหม่ใน Apple Watch แม้ว่าตอนแรกจะรู้สึกเฉยๆ "เพื่อ?" แต่หลังจากที่ได้ใช้งานจริงจัง พบว่ามันมีประโยชน์ไม่น้อยเลย เพราะตอนที่กำลังขับรถในเชียงใหม่ เรารู้อยู่แล้วว่าถ้าขับขึ้นไปเรื่อยๆ ทางทิศเหนือจะจเอเส้นทางหลัก แต่ปัญหาคือไม่รู้ว่ากำลังหันไปทางทิศไหน เลยลองใช้ฟังก์ชันนี้ เพื่อดูทิศ ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ เพราะขับต่อไปอีกเดียวก็เจอถนนหลัก และสามารถขับไปต่อโดยไม่ต้องเปิดแผนที่เลย ซึ่งก็น่าจะเหมาะสำหรับคนที่ชอบเดินป่าด้วย ลองมาอ่านข้อถัดไปครับ 

5. แบตเตอรี่

     Apple เผยว่ามีการปรับแต่งใน Series 5 อยู่หลายจุด เพื่อให้ใช้แบตเตอรีได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเพิ่มความจุมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 1.4% แต่สำหรับเรา กลับรู้สึกว่ายังเป็นเรื่องที่ Apple ต้องพัฒนาอีกพอสมควรเลย เพราะจากการใช้มาตลอดสัปดาห์ บางวันลองชาร์จไฟให้เต็ม เพื่อที่จะทดสอบว่าถ้าใช้แบบเต็มที่ตลอดทั้งวัน แบตฯ จะเหลือกี่เปอร์เซนต์ โดยตื่นตีห้าไปวิ่ง โทรเข้า-ออก รับ Notifications และเปิด Always-On Display จนประมาณสี่ทุ่มก็เช็กแบตเตอรีอีกครั้ง เหลือเพียง 25-30 เปอร์เซนต์เท่านั้น กลายเป็นว่าต้องมาชาร์จวันต่อวัน ซึ่งบางครั้งก็รำคาญอยู่บ้าง อย่างน้อยๆ ถ้าแบตเตอรีอยู่ได้สัก 2-3 วัน ไม่ต้องชาร์จบ่อย ก็จะดีมาก      

6. Noise Alerts


     ส่วนตัวยังไม่ได้ทดลองใช้ฟังก์ชันนี้มากเท่าไหร่ โดยเป็นฟีเจอร์ที่ฟังเสียงรอบข้างและวัดออกมาในหน่วยเดซิเบล เพื่อคอยแจ้งเตือนเราว่าบรรยากาศโดยรอบเสียงดังเกินไปหรือเปล่า ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพการได้ยิน เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในสถานที่จอแจ หรือมีเสียงดังตลอดเวลา เช่นสถานที่ก่อสร้าง หรือ เสียงเพลงที่เปิดในผับ

7. Fall Detection + Emergency Calls


     นี่คือฟีเจอร์ที่มองว่ามีประโยชน์มากทีเดียว ไม่ใช่สำหรับแค่ผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สำหรับทุกคนเลย เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่าเมื่อไหร่จะได้ใช้มัน แต่ในยามฉุกเฉิน ฟีเจอร์นี้อาจจะช่วยให้คุณรอดตายได้เลย โดยลักษณะการทำงาน เมื่อเราล้มลงขณะที่กำลังใส่ Apple Watch นาฬิกาจะส่งสัญญาณเตือนแล้วมีข้อความขึ้นว่า "คุณเหมือนจะล้มใช่ไหม?" ถ้าใช้ คุณก็แค่กดขอความช่วยเหลือ แต่ถ้าไม่ใช่ก็กด Digital Crown หรือแตะ "ฉันโอเค" 

     อ้างอิงจากเพจ Apple เขียนอธิบายไว้ว่า

     “หาก Apple Watch ของคุณตรวจพบว่าคุณกำลังเคลื่อนไหวอยู่ อุปกรณ์จะรอให้คุณตอบสนองและจะไม่โทรหาบริการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ หากนาฬิกาของคุณตรวจพบว่าคุณไม่ขยับเคลื่อนไหวใดๆ ประมาณหนึ่งนาที นาฬิกาจะโทรโดยอัตโนมัติ หลังจากวางสาย นาฬิกาจะส่งข้อความหารายชื่อติดต่อฉุกเฉินของคุณพร้อมกับตำแหน่งที่ตั้งของคุณเพื่อแจ้งให้คนเหล่านั้นทราบว่านาฬิกาได้ตรวจพบการล้มอย่างรุนแรงและโทรหาบริการฉุกเฉินแล้ว นาฬิกาของคุณจะได้รับรายชื่อติดต่อฉุกเฉินจาก ID ทางแพทย์ของคุณ”

     เพราะฉะนั้นถ้าคุณเกิดล้มหรือประสบอุบัติเหตุ นี่อาจช่วยชีวิตคุณเลยก็ได้ สมมติเช้าวันหนึ่งผมออกไปวิ่ง แล้วเกิดเหยียบขี้หมาข้างถนนลื่นล้มหัวฟาดฟุตบาทสลบไป Apple Watch จะติดต่อบริการฉุกเฉิน รวมถึงแจ้งเตือนไปยังแฟนของผมที่มีรายชื่ออยู่ใน Emergency Contacts ว่าเกิดอะไรขึ้น


8. ปิดวงแหวนกิจกรรม 

     ตอนแรกก็ดูเป็นเรื่องตลก แต่กลับกลายเป็นว่าฟีเจอร์นี้ทำให้ผมติดงอมแงม เพราะอยากปิดวงแหวนให้ได้ในทุกๆ วัน เป้าหมายอย่างเช่น ยืนน้อยไป เดินน้อยไป เดินอีกนิดเดียว ก็จะปิดวงแหวนได้แล้ว "อ่าาาา" ในที่สุดเราก็ปิดได้แล้ว ความรู้สึกก็จะประมาณนี้เลย เหมือนเป็นมิชชั่นที่เราต้องทำให้ได้ในแต่ละวัน และมันก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย 

     โดยสรุปแล้ว หลังจากที่ได้ทดลองใช้ Apple Watch Series 5 ก็นับว่าคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป หมื่นกลางๆ สำหรับฟีเจอร์และฟังก์ชันต่างๆ ที่ผมได้ใช้ แต่ถ้าคุณต้องการความหรูหรามากขึ้น ก็คงต้องมองตัว Limited Edtion ที่สูงถึง 3-4 หมื่นบาท จะติดก็แค่เรื่องเดียวคือ ขนาดตัวเรือนที่บางกว่านี้ และหน้าจอที่ดีกว่านี้ เอาเป็นว่าถ้าคุณกำลังใช้ตัว Series 3 แล้วอยากเปลี่ยนเรือนใหม่ ตัว Series 5 ถือว่าน่าสนใจทีเดียว 




Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

flow chart แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน lmyour แปลภาษา กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน กาพย์เห่เรือ การเขียน flowchart โปรแกรม ตัวรับสัญญาณ wifi โน๊ตบุ๊คหาย ตัวอย่าง flowchart ขั้นตอนการทํางาน ผู้แต่งกาพย์เห่ชมไม้ ภูมิปัญญาหมายถึง มีสัญญาณ wifi แต่เชื่อมต่อไม่ได้ เชื่อมต่อแล้ว ไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ /roblox promo code redeem 3 พระจอม มีที่ไหนบ้าง AKI PLUS รีวิว APC UPS APC UPS คือ Adobe Audition Adobe Bridge Anapril 5 mg Aqua City Odaiba Arcade Stick BMW F10 jerk Bahasa Thailand Benz C63 ราคา Bootstrap 4 Bootstrap 4 คือ Bootstrap 5 Brackets Brother Scanner Brother iPrint&Scan Brother utilities Burnt HD C63s AMG CSS เว้น ช่องว่าง CUPPA COFFEE สุราษฎร์ธานี Cathy Doll หาซื้อได้ที่ไหน Clock Humidity HTC-1 ColdFusion Constitutional isomer Cuppa Cottage เจ้าของ Cuppa Cottage เมนู Cuppa Cottage เวียงสระ DMC DRx จ่ายปันผลยังไง Detroit Metal City Div class คือ Drastic Vita