"สุชีโวภิกขุ" คือ นามฉายาของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เมื่อครั้งท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดกันมาตุยาราม ชื่อเสียงของท่านโด่งดัง เป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างยิ่งยวดในหมู่คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนเสมอมา จากผลงานการประพันธ์ทั้งในเชิงวิชาการและด้านวรรณกรรม เป็นที่ประจักษ์ถึงความรอบรู้ด้านพระพุทธศาสนาเป็นเลิศ และความสามารถในการเล่าพระธรรมอย่างยากที่จะมีใครทัดเทียมได้ มรดกงานวรรณกรรมอันล้ำค่านี้ ได้สร้างคุณูปการอันสำคัญยิ่งให้แก่บรรณพิภพไทย
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2460 อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ กำเนิด ณ ตำบลบางไทรป่า อำเภอบางปลา (อำเภอบางเลนในปัจจุบัน) จังหวัดนครปฐม มีพี่น้องรวม 12 คน แต่เสียชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ไปถึง 11 คน เหลือท่านเพียงคนเดียว พ่อแม่จึงตั้งชื่อท่านว่า "บุญรอด"
เมื่ออายุราว 13 ปี หลังจากที่เรียนจบชั้นประถมปีที่ 5 ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรเพื่อศึกษาต่อในทางพุทธศาสนา ณ วัดสัมปทวน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม จนสอบไล่นักธรรมและภาษาบาลี เปรียญธรรม 7 ประโยคได้ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร ต่อมาท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดกันมาตุยาราม เมื่อ พ.ศ. 2480 และได้รับฉายาว่า "สุชีโวภิกขุ" หลังจากอุปสมบทได้ 2 พรรษา ก็สอบไล่เปรียญธรรม 9 ประโยคได้
ในขณะที่ท่านเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ ณ วัดกันมาตุยารามนั้น นอกเหนือจากความรู้ภาษาบาลีอันแตกฉานแล้ว ท่านมีความชำนาญอื่น ๆ หลายวิชา อาทิ ภาษาอังกฤษ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ภาษาสันสกฤต และภาษาปรากฤต อีกทั้งท่านยังขวนขวายศึกษาวิชาสมัยใหม่อื่น ๆ จากตำราทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศด้วย ทำให้ท่านเป็นภิกษุหนุ่มที่มีความรู้ในวิชาการสมัยใหม่ โลกทัศน์กว้างไกล และมีวิธีการเทศนาสั่งสอนพระพุทธศาสนาในแนวใหม่ที่ทันสมัย เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ อีกทั้งเป็นพระภิกษุไทยรูปแรกที่บรรยายธรรมเป็นภาษาอังกฤษ
เมื่อท่านเห็นว่าความรู้ในวิชาการสมัยใหม่เป็นประโยชน์ต่อการสั่งสอนและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านจึงเริ่มถ่ายทอดวิชาเหล่านั้นแก่ภิกษุสามเณรที่วัดกันมาตุยาราม และริเริ่มประยุกต์พระพุทธศาสนาให้เข้ากับสังคมร่วมสมัย ซึ่งต่อมา พระเถรานุเถระจากคณะธรรมยุตได้ทราบเรื่อง และสนับสนุนเทคนิคการสอนของอาจารย์สุชีพ จนกระทั่งจัดตั้งขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า "สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย" ใน พ.ศ. 2488
บทบาทของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพนับว่าเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการริเริ่มสถาบันการศึกษาขั้นสูงของพระพุทธศาสนา หลังจากนั้น ท่านได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษามหามกุฎฯ เป็นรูปแรก และเป็นผู้วางรากฐานด้านวิชาการและการบริหารให้แก่มหาวิทยาลัยจนกระทั่งลาสิกขา เมื่ออายุ 35 ปี ใน พ.ศ. 2495 รวมเวลาที่ท่านดำรงอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปี
นอกเหนือจากก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ อาจารย์สุชีพยังมีผลงานที่โดดเด่นในด้านวิชาการทางพระพุทธศาสนาที่เป็นอมตะ คือ การจัดทำพระไตรปิฏกฉบับประชาชน ซึ่งเป็นการย่อความพระไตรปิฎกจำนวน 45 เล่ม ให้เหลือเพียง 5 เล่ม เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการศึกษาพระธรรมเป็นภาษาไทยสำเร็จเป็นคนแรก นับว่าเป็นผลงานที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการศึกษาพระไตรปิฏกและพุทธศาสนาประเทศไทย
ในด้านวรรณกรรม อาจารย์สุชีพเป็นผู้ริเริ่มการแต่งนวนิยายอิงหลักธรรม อันได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง “กามนิต” ที่ท่านได้อ่านเมื่อครั้งเป็นสามเณร โดยนวนิยายอิงหลักธรรมนี้ คือ นวนิยายที่อาศัยเรื่องราวจากพระพุทธประวัติ สอดแทรกการสั่งสอนหลักธรรม ทำให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสทั้งในแง่วรรณกรรมและหลักธรรมะไปพร้อม ๆ กัน
ผลงานเรื่องแรกของท่าน คือเรื่อง “ใต้ร่มกาสาวพัสตร์” บอกเล่าเรื่องราวขององคุลิมาลกับพระพุทธเจ้า ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือธรรมจักษุ เมื่อ พ.ศ. 2494 ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม และได้รับการขอร้องให้ประพันธ์อีกหลาย ๆ เรื่อง ต่อมาท่านจึงประพันธ์เรื่อง “กองทัพธรรม” บอกเล่าเรื่องของพระสารีบุตรกับพระธรรมเสนาบดี และเรื่อง “ลุ่มน้ำนัมมทา” “เชิงผาหิมพานต์” และ “นันทะ-ปชาบดี” ตามลำดับ โดยนวนิยายอิงหลักธรรมของอาจารย์สุชีพนี้ นับว่าเป็นการริเริ่มการเผยแผ่พุทธศาสนาในรูปแบบใหม่ รวมถึงทำให้เกิดนวนิยายแขนงใหม่ในวงการวรรณกรรมไทยซึ่งต่อมาเป็นที่นิยมของนักอ่านทั่วไป และส่งอิทธิพลต่อนักประพันธ์ให้ประพันธ์นวนิยายในแขนงเดียวกันนี้อีกหลายท่าน เช่น วศิน อินทสระ ทวี วรคุณ สุทัสสนา อ่อนค้อม เป็นต้น
หลังจากอาจารย์สุชีพลาสิกขา ท่านยังได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงเป็นอาจารย์สอนและที่ปรึกษาในสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย และในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงแก่กรรมในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 เวลา 15.51 น. สิริรวมอายุ 83 ปี 21 วัน
ด้วยผลงานที่ได้กล่าวมา ผนวกกับอุปนิสัยส่วนตัวที่อ่อนน้อม มีเมตตากรุณา และตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมคำสอน ทำให้อาจารย์สุชีพเป็นที่รักและเคารพยิ่งของศิษย์ ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
...................................................................
ประวัติและผลงาน
อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ
บิดาแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย
และผู้ริเริ่มจัดทำ “พระไตรปิฎกฉบับประชาชน”
และ “พจนานุกรมศัพท์พระพุทธศาสนา”
ประวัติทั่วไป
คัดลอกจาก “ปูชนียบุคคลของชาว มมร. อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ”
นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๕ ฉบับที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๓
ข้อมูลส่วนตัว
อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เกิด ณ ตำบลบางไทรป่า
อำเภอบางปลา (คืออำเภอบางเลนในปัจจุบัน) จังหวัดนครปฐม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๖๐ ในครอบครัวที่มีอาชีพค้าขาย
การศึกษาและการอุปสมบท
ในวัยเด็ก อาจารย์ได้ศึกษาจบชั้นประถมปีที่ ๕ ซึ่งเทียบมัธยมปีที่ ๒ ในสมัยนั้น
เมื่อจบการศึกษาเบื้องต้นแล้ว ได้เข้าเรียนภาษาบาลีที่วัดกันมาตุยาราม กรุงเทพฯ
อายุราว ๑๓ ปี ก็กลับไปบรรพชาเป็นสามเณร
เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อในทางพระศาสนาต่อไป
ณ วัดสัมปทวน
อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
โดยเป็นศิษย์ของพระปฐมนคราจารย์ (วงศ์ โอทาตวณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดสัมปทวน
และเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมในขณะนั้น แล้วจึงเข้ามาศึกษาเล่าเรียนต่อ
ณ วัดกันมาตุยาราม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ จนสอบไล่นักธรรมและบาลี
ได้เป็นเปรียญธรรม ๗ ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณร
ได้อุปสมบท ณ วัดกันมาตุยาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐
โดยเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร)
วัดเทพศิรินทราวาส เป็นพระอุปัชฌาย์
ได้รับฉายาว่า สุชีโว หลังจากอุปสมบทได้ ๒ พรรษา
ก็สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒
ซึ่งในปีเดียวกันนั้น มีผู้สอบไล่ ๙ ประโยคได้ ๓ รูป คือ
(๑) พระมหาบุญรอด สุชีโว คืออาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ
(๒) พระมหาบุญมี อเวรี (สมสาร) วัดบรมนิวาส
ภายหลังลาสิกขาและเปลี่ยนชื่อเป็น เชวง สมสาร
(๓) พระมหาเช้า ฐิตปญฺโญ (ยศสมบัติ) วัดเขาแก้ว จังหวัดนครสวรรค์
สุดท้ายได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมคุณาภรณ์
เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์
นอกจากจะมีความรู้ภาษาบาลีแตกฉานเป็นอันดีแล้ว
อาจารย์ยังมีความรู้ในภาษาสันสกฤตและภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาวิชาการสมัยใหม่ต่าง ๆ ที่เป็นว่าภิกษุสามเณรควรจะเรียนรู้
เพื่อประโยชน์แก่การที่จะนำมาประยุกต์กับ
การสั่งสอนพระพุทธศาสนาแก่ประชาชนให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
ซึ่งวิชาการทั้งหลายเหล่านี้ อาจารย์ก็พยายามขวนขวายศึกษาเอาด้วยตนเอง
โดยการอ่านตำรับตำราทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ
จนกล่าวได้ว่า อาจารย์เป็นพระหนุ่มที่มีหัวก้าวหน้า มีโลกทรรศน์กว้างไกล
และมีวิธีการเทศนาสั่งสอนพระพุทธศาสนาแนวใหม่ที่ทันสมัย
เป็นที่นิยมชมชอบและเป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนทั่งประเทศในขณะนั้น
ในนามว่า “สุชีโวภิกขุ” ดังที่ ท่านพุทธทาส
ได้กล่าวถึงอาจารย์ไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของท่าน
(คือเรื่อง เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา เล่ม ๑) ว่า
“คุณสุชีพ หรือสุชีโวนั่นแหละ ที่ (เป็นดาวเด่น) เป็นคนแรก (ในยุคนั้น)
รุ่นอ่อนกว่าผมหน่อย(*๑) เขามีผลงานตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนั้นเขาเป็นผู้นำคนหนุ่มยุวพุทธ
ให้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นผู้ก่อหวอด ก่อรากมหาวิทยาลัยสงฆ์วัดบวรฯ (*๒)
เป็นคนแรกที่เทศน์เป็นภาษาอังกฤษในประเทศไทย เขาจัดให้เป็นพิเศษ
มีฝรั่งมาฟังหลายคน ตอนหลังผมเคยไปฟังด้วย
เจ้าคุณลัดพลี (พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์) พาไป คุณชำนาญก็เคยพาไปเยี่ยมแกถึงกุฏิ”
*๑ ท่านพุทธทาส เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ แก่กว่าอาจารย์สุชีพ ๑๑ ปี
*๒ หมายถึง สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
ริเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์
จากประสบการณ์ของอาจารย์เองทำให้เห็นว่า
ความรู้ภาษาต่างประเทศและความรู้ในวิชาการสมัยใหม่นั้น
เป็นประโยชน์ต่อการสั่งสอนและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
ฉะนั้น อาจารย์จึงมีความปรารถนาที่จะให้ภิกษุสามเณรได้เรียนรู้วิชาการเหล่านี้
เพื่อจะได้เป็นศาสนทายาทที่มีคุณภาพ ทันโลกทันเหตุการณ์
อันจะทำให้สามารถสั่งสอนพระพุทธศาสนาแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิผล
ด้วยความปรารถนาดังกล่าวแล้ว
อาจารย์จึงได้ริเริ่มสอนภาษาอังกฤษ
และวิชาการสมัยใหม่บางวิชาที่สามารถสอนได้ด้วยตนเองแก่ภิกษุสามเณรวัดกันมาตุยาราม
เป็นการกระตุ้นให้พระหนุ่มเณรน้อยสนใจใฝ่รู้ในวิชาการต่าง ๆ
และเห็นคุณประโยชน์ของวิชาการเหล่านั้นในแง่ของการนำมาส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
อาจารย์ได้เริ่มสอนภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิชาอื่น ๆ อีกบ้าง แก่ภิกษุสามเณรที่สนใจ
โดยใช้ชั้นล่างของกุฏิที่พักของอาจารย์นั่นเองเป็นสถานที่เรียน
ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากพระหนุ่มเณรน้อยไม่น้อย มีผู้มาเล่าเรียนกันมาก
ต่อมา
ท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) วัดบวรนิเวศวิหาร
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ ณ ตึกหอสมุดมหามกุฎราชวิทยาลัย หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร
ได้ทราบว่าอาจารย์ได้เปิดสอนภาษาและวิชาการสมัยใหม่แก่พระภิกษุสามเณร
ที่วัดกันมาตุยารามดังกล่าวแล้ว วันหนึ่งท่านจึงได้ปรารภกับอาจารย์ว่า
เมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ทำไมไม่ตั้งเป็นโรงเรียนสอนกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสีย
จากคำปรารภของ ท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี
(ผิน สุวโจ) นี้เอง
ที่เป็นแรงกระตุ้นและแรงใจให้อาจารย์เกิดความคิดที่จะก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น
ต่อมาเมื่อได้นำความคิดนี้ไปปรึกษากับพระเถรานุเถระในคณะธรรมยุต
ก็ได้รับการสนับสนุนเป็นส่วนมาก จะมีติติงอยู่บ้างก็เป็นส่วนน้อย
อันเนื่องมาจากยังไม่ค่อยแน่ใจในระบบการศึกษาและวิธีการ
ในที่สุดพระเถรานุเถระในคณะธรรมยุตก็ได้มีการประชุมกัน
และมีมติให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น ในนามของมหามกุฎราชวิทยาลัย
อันเคยเป็นสถาบันการศึกษาของพระสงฆ์มาแต่เดิมแล้วโดยเรียกว่า
“สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย”
เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ แต่ครั้งยังไม่ได้ทรงกรม
ในฐานะองค์นายกกรรมการมหามกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
ได้ทรงลงพระนามประกาศตั้ง เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๔๘๘
สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย จึงเป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา
หรือมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกในประเทศไทย
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ ก็คืออาจารย์สุชีพ
และผู้ที่เป็นแรงผลักดัน และให้การสนับสนุนอย่างสำคัญ
จนการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้
ก็คือ ท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ)
หากขาดแรงสนับสนุนจากพระมหาเถระท่านนี้เสียแล้ว
การจัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก
อันที่จริงความดำริที่จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา
หรือมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นในประเทศไทยนั้น มิใช่เพิ่งเกิดในครั้งนี้เป็นครั้งแรก
เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ได้ทรงพระดำริไว้เมื่อกว่า ๑๐๐ ปีมาแล้ว
โดยทรงพระดำริที่จะใช้พื้นที่บริเวณบางลำพูทั้งเกาะ
เป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา
และการที่พระองค์ทรงจัดตั้ง มหามกุฎราชวิทยาลัยขึ้น ก็เพื่อเป็นการปูทาง
ไปสู่การจัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงของพระพุทธศาสนา หรือมหาวิทยาลัยสงฆ์นั่นเอง
แต่ยังมิทันจะได้ทรงดำเนินการตามพระดำริ ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน
ฉะนั้น การจัดตั้งสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ขึ้นครั้งนี้
จึงเป็นการสานต่อพระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นให้เป็นจริงขึ้นนั่นเอง
ในระหว่างนี้
อาจารย์ได้เป็นผู้สนับสนุนให้เกิดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญขึ้นอีกอย่างหนึ่ง
คือ ยุวพุทธิกสมาคม โดย อาจารย์เสถียร โพธินันทะ
ซึ่งเป็นศิษย์คนสำคัญของอาจารย์ เป็นผู้นำในการจัดตั้ง
แล้วยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ก็ได้จัดตั้งขึ้น ณ วัดกันมาตุยาราม เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๔๙๑
และยังคงเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญองค์กรหนึ่ง
ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยสืบมาจนปัจจุบัน
การลาสิกขาและผลงานในฐานะพุทธศาสนิกชนตัวอย่าง
ลาสิกขา
เมื่อจัดตั้งสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยขึ้นแล้ว
อาจารย์สุชีพซึ่งขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระศรีวิสุทธิญาณ
ก็ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษามหามกุฎฯ เป็นรูปแรก
อาจารย์ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษามหามกุฎฯอยู่ ๕ ปี
ได้เป็นผู้วางรากฐานทั้งในด้านวิชาการและการบริหารให้แก่มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้มาตั้งแต่ต้น
ถึงวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๕ อาจารย์ก็ลาสิกขา
การลาสิกขาของอาจารย์นับเป็นข่าวใหญ่ของหนังสือพิมพ์เมืองไทยข่าวหนึ่งในยุคนั้น
เมื่ออาจารย์ลาสิกขาแล้ว ท่านเจ้าคุณพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร) วัดเทพศิรินทราวาส
ขณะยังเป็นพระมหาประยูร เปรียญ ๙ ก็ได้รับเลือก
ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยต่อมาเป็นรูปที่ ๒
(ต่อมาตำแหน่งเลขาธิการได้เปลี่ยนเป็นอธิการบดี
และผู้ที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยเป็นรูปแรกและรูปปัจจุบัน
ก็คือ ท่านเจ้าคุณพระธรรมปัญญาจารย์ (ประจวบ กนฺตจาโร)
วัดมกุฎกษัตริยาราม
ชีวิตการทำงาน
หลังจากที่ลาสิกขาแล้ว อาจารย์ก็ยังช่วยเหลือกิจการของสภาการศึกษามหามกุฎฯอยู่ตลอดมา
โดยการเป็นกรรมการ เป็นที่ปรึกษา
และเป็นอาจารย์บรรยายวิชาทางพระพุทธศาสนาและศาสนาเปรียบเทียบ
อาจารย์ได้เข้ารับราชการครั้งแรกในกระทรวงวัฒนธรรม
(ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕ และยุบเลิกไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑)
โดยเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม
เป็นรัฐมนตรีว่าการ และระหว่างนั้น
ได้รับพระราชทานยศในกองทัพเรือเป็น ว่าที่นาวาตรี
ต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติอีกตำแหน่งหนึ่ง
ต่อมาได้ลาออกจากกระทรวงวัฒนธรรมแล้วเข้าทำงาน
ในองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อสท.)
ในฐานะที่ปรึกษาและต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ
และรองผู้อำนวยการ ตามลำดับ
อาจารย์ได้ทำงาน ณ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
จนกระทั่งเกษียณอายุเมื่อกลางเดือนเมษายน ๒๕๒๐
เมื่อเกษียณอายุจากหน้าที่การงานแล้ว
อาจารย์ก็ได้อุทิศชีวิตให้แก่กิจการทางพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่
ได้กลับมาช่วยกิจการทางวิชาการของสภามหามกุฎราชวิทยาลัยได้อย่างเต็มที่
โดยการเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และเป็นผู้บรรยายวิชาทางพระพุทธศาสนา
เป็นกรรมการสภาการศึกษาของคณะสงฆ์
นอกจากนี้ ก็ยังได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษ
บรรยายวิชาทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยของรัฐอีกหลายแห่ง
เช่น มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยรามคำแหง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น
กิจการทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง
ที่อาจารย์ได้เข้ามาช่วยอย่างเต็มตัว
หลังจากที่อาจารย์เกษียณอายุแล้ว ก็คือ องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พสล.)
โดยได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการอำนวยการ
อาจารย์ต้องดูแลรับผิดชอบกิจกรรมทางวิชาการของ พสล. เป็นส่วนใหญ่
ลักษณะการประพันธ์อันโดดเด่น
อาจารย์เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการประพันธ์ สามารถประพันธ์ได้ทั้งในเชิงร้อยแก้วและร้อยกรอง
ผลงานในทางการประพันธ์ของอาจารย์ จึงมีทั้งเป็นบทกวีความเรียงทางวิชาการ
บทความ และนวนิยาย
ข้อเขียนของอาจารย์ซึ่งรวมไปถึงบทเทศนา
และการบรรยายธรรมด้วย เป็นถ้อยคำสำนวนแบบเรียบ ๆ ง่าย ๆ
แต่กะทัดรัด ชัดเจน และมีความไพเราะอยู่ในตัว
อาจารย์ได้เริ่มแสดงความสามารถในทางการประพันธ์
และการบรรยายตั้งแต่ยังเป็นสามเณรเปรียญ
ผลงานที่โดดเด่นที่ทำให้อาจารย์เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนามว่า “สุชีโวภิกขุ”
และตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ก็คือความสามารถในการมอง
และอธิบายพระพุทธศาสนาในแง่มุมที่แปลกใหม่ อันเป็นแง่มุมที่ไม่เคยมีใครมองมาก่อน
หรือเป็นแง่มุมที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
และนำเอาประเด็นที่สำคัญและโดดเด่นของพระพุทธศาสนาในแง่มุมนั้น ๆ
ออกมาแสดงให้คนทั่วไปได้รู้จัก
ตัวอย่างของผลงานของอาจารย์ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถดังกล่าวนี้
ก็เช่น หนังสือเรื่อง “คุณลักษณะพิเศษบางประการแห่งพระพุทธศาสนา”
ซึ่งก็มีแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย รวมทั้งบทความและปาฐกถาอื่น ๆ อีกจำนวนมาก
ผลงานที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งของอาจารย์ก็คือการอธิบายพระพุทธศาสนาแนวใหม่
โดยการนำเอาความรู้วิชาการสมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์
ปรัชญา สังคมศาสตร์ เป็นต้น
มาประยุกต์กับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ทำให้คนทั่วไปเข้าใจพระพุทธศาสนาได้ดีและง่ายขึ้น
ทั้งทำให้มองคุณค่าของพระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาว่ามีความทันสมัย
สามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกสถานการณ์
หากศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี
สานต่อพระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
นอกจากนี้ การอธิบายพระพุทธศาสนาในแนวประยุกต์ดังกล่าวนี้
ยังเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า บรรดาศาสตร์หรือวิชาความรู้ด้านต่าง ๆ
ที่กำลังศึกษาหรือตื่นเต้นกันอยู่ในปัจจุบันนั้น
ล้วนเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้เคยแนะนำสั่งสอนประชาชนมาแล้วทั้งนั้นในหลักการใหญ่ ๆ
ความสามารถในการอธิบายพระพุทธศาสนาแนวใหม่ หรือแนวประยุกต์นี้เอง
ที่ทำให้นาม “สุชีโวภิกขุ” ดังกระฉ่อนไปทั่วประเทศ
ผลงานของอาจารย์ในด้านนี้
ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อเสียงของอาจารย์เป็นที่รู้จัก
และเป็นที่นิยมชมชอบไปทั่วประเทศเท่านั้น แต่ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อวงการศึกษา
และเผยแผ่พระพุทะศาสนาด้วยเป็นอันมาก เพราะเป็นการจุดประกายแห่งความริเริ่ม
และความสนใจในการศึกษาวิจัยทางพระพุทธศาสนาให้เกิดขึ้นในวงการศึกษา
และวงการนักวิชาการของไทย และในเวลาต่อมาก็ได้มีการศึกษาวิจัยทางพระพุทธศาสนา
ในแนวประยุกต์กันอย่างจริงจัง และกว้างขวางยิ่งขึ้น
ผลงานของอาจารย์ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถและความริเริ่มในด้านนี้
ก็เช่น ความเรียงเรื่อง
“พระพุทธศาสนาในแง่ปรัชญาและวิทยาศาสตร์”,
“พระพุทธศาสนากับสันติภาพของโลก”, “แง่คิดบางประการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา” เป็นต้น
ผลงานของอาจารย์ด้านนี้ก็กล่าวได้ว่าเป็นการสานต่อพระดำริ
ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส อีกประการหนึ่งเช่นกัน
เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นนักวิชาการทางพระพุทธศาสนาพระองค์แรกของไทย
ที่ทรงริเริ่มการอธิบายพระพุทธศาสนาในแนวประยุกต์
หรือการอธิบายพระพุทธศาสนาให้เป็นวิทยาศาสตร์เพื่อความเข้าใจของคนร่วมสมัย
ดังจะเห็นได้จากงานพระนิพนธ์ของพระองค์ท่าน เช่น
พุทธประวัติ ธรรมวิภาค ธรรมวิจารณ์
และธรรมนิพนธ์อื่น ๆ อีกเป็นอันมาก ซึ่งได้ทรงนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เป็นต้น มาประยุกต์ในการอธิบายพระพุทธศาสนา
แต่เมื่อสิ้นสมัยของพระองค์ท่านแล้ว แนวพระดำริดังกล่าวนี้ก็ถูกลืมเลือนไปเพราะไม่มีผู้สานต่อ
ริเริ่มการประพันธ์นวนิยายอิงหลักธรรม
มิติใหม่ของการเผยแผ่พระศาสนา
ผลงานที่เป็นการบุกเบิกของอาจารย์อีกอย่างหนึ่ง
ในทางวรรณกรรมและวงการพระพุทธศาสนาของไทย
ก็คือ
การแต่งนวนิยายอิงหลักธรรม
ความบันดาลใจที่ทำให้อาจารย์ริเริ่มงานด้านนี้เกิดขึ้น
เมื่ออาจารย์อ่านเรื่อง กามนิต ของ คาล เยลเลรุป
ขณะเป็นสามเณรอายุราว ๑๕-๑๖ ปี
เรื่องนี้เดิมประพันธ์ขึ้นในภาษาเยอรมัน และแปลเป็นภาษาอังกฤษ
ต่อมาผู้รู้ของไทยได้แปลจากภาษาอังกฤษสู่ภาษาไทยในชื่อว่า กามนิต
นวนิยายเรื่องนี้ผู้ประพันธ์ได้อาศัยเรื่องราวจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
ประกอบกับเรื่องราวจากคัมภีร์ฝ่ายพราหมณ์บ้าง
สร้างเป็นเรื่องราวขึ้น
โดยมุ่งให้ผู้อ่านได้รับรสทั้งในแง่วรรณกรรม ศาสนาและศีลธรรม ไปพร้อม ๆ กัน
อาจารย์เห็นว่าเป็นวิธีการสั่งสอนศีลธรรมและเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ดีวิธีหนึ่ง
เมื่ออ่านเรื่องกามนิตในครั้งนั้น อาจารย์มีความประทับใจมากถึงกับตั้งใจไว้ว่า
เมื่อศึกษาพระพุทธศาสนามีความรู้พอ ก็จะแต่งเรื่องทำนองนี้ขึ้นบ้าง
ครั้นอายุได้ ๒๒ ปี ขณะยังเป็นพระเปรียญ ๙ ประโยค อาจารย์ก็สามารถทำได้ตามที่ตั้งใจไว้
คือได้แต่งเรื่อง ใต้ร่มกาสาวพัสตร์
ขึ้น
และนำลงตีพิมพ์ในหนังสือธรรมจักษุ เป็นตอน ๆ เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔
นับเป็นผลงานทางนวนิยายอิงหลักธรรม เรื่องแรกของอาจารย์ และของวงการวรรณกรรมไทยด้วย
เมื่อจบเรื่องใต้ร่มกาสาวพัสตร์ อันเป็นเรื่องราวของพระองคุลิมาลแล้ว
เรื่อง กองทัพธรรม อันเป็นเรื่องของพระสารีบุตร พระธรรมเสนาบดีก็ตามมา
และจากนั้นอาจารย์ก็ได้รับการขอร้องให้แต่งเรื่องอื่น ๆ อีกกลายเรื่องตามลำดับ
คือเรื่อง ลุ่มน้ำนัมมทา เป็นการอธิบายเรื่องราวความเป็นมาของรอยพระพุทธบาท
เรื่อง เชิงผาหิมพานต์ เป็นการสรรเสริญคุณของพระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก
เรื่อง อาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก เป็นเรื่องราวของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในโลกตะวันตก
เรื่อง นันทะปชาบดี แสดงเรื่องราวของราชวงศ์ศากยะและความเป็นมาของภิกษุณีในพระพุทธศาสนา
ผลงานทางนวนิยายอิงหลักธรรมของอาจารย์
นอกจากจะถือได้ว่า เป็นก้าวใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านวรรณกรรมแล้ว
ยังถือได้ว่าเป็นการริเริ่มมิติใหม่ในวงวรรณกรรมของไทยด้วย
เพราะหลังจากผลงานชั้นบุกเบิกของอาจารย์ปรากฏสู่บรรณโลกแล้ว
ต่อมาไม่นานก็ได้เกิดนวนิยายอิงหลักธรรมโดยนักประพันธ์คนอื่น ๆ ตามมาอีกหลายเรื่อง
จนเป็นที่รู้จักกันดีและเป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านโดยทั่วไป
ผลงานอมตะ “พระไตรปิฎกฉบับประชาชน”
ผลงานที่ทำให้อาจารย์เป็นบุคคลอมตะตลอดไป
ในวงการวิชาการทางพระพุทธศาสนาของไทยก็คือ
พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ซึ่งเป็นการย่อความพระไตรปิฎกจำนวน ๔๕ เล่ม
ให้เหลือเพียง ๕ เล่ม
ซึ่งภายหลังได้รวมพิมพ์เป็นหนังสือขนาดใหญ่เล่มเดียวจบ
นับเป็นผลงานที่อาจารย์ผู้ริเริ่ม และทำเสร็จเป็นคนแรกในประเทศไทย
เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาพระไตรปิฎก และศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นการช่วยให้คนทั่วไปที่สนใจหรือต้องการจะศึกษาพระไตรปิฎก
สามารถอ่านหรือศึกษาได้สะดวกในเวลาอันสั้น
ช่วยให้เข้าใจสารัตถะและจับประเด็นสำคัญของคำสอนทั้งหมดของพระพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้อง
โดยไม่ต้องเสียเวลาอ่านพระไตรปิฎกทั้ง ๔๕ เล่ม
ซึ่งทั้งยากแก่การทำความเข้าใจ
และยืดยาวชวนเบื่อสำหรับคนทั่วไป
ผลงานชิ้นนี้นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากแล้ว
ยังแสดงให้เห็นถึงความแตกฉานในพระไตรปิฎกและความวิริยะอุตสาหะของอาจารย์
ในอันที่จะสร้างสรรค์สิ่งอันเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาอีกด้วย
ผลงานอมตะ “พจนานุกรมศัพท์พระพุทธศาสนา”
งานริเริ่มในทางวิชาการอีกชิ้นหนึ่งของอาจารย์ ที่ควรแก่การบันทึกไว้ในที่นี้ก็คือ
พจนานุกรมศัพท์พระพุทธศาสนา ไทย-อังกฤษ
และอังกฤษ-ไทย
ซึ่งอาจารย์ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มทำขึ้นเป็นคนแรกในประเทศไทย
และได้พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ จากนั้นมาก็ได้มีผู้รู้ท่านอื่น ๆ
ได้สร้างงานประเภทนี้ขึ้นมาอีกหลายชิ้น
ซึ่งก่อให้เกิดผลดีแก่วงการศึกษาพระพุทธศาสนาของไทยเป็นอย่างมาก
นอกจากความริเริ่มในทางการศึกษา การเผยแผ่ และทางวรรณกรรมแล้ว
อาจารย์ยังได้ชื่อว่า เป็นผู้มองเห็นการณ์ไกลในทางวิชาการ
เพราะในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์
คือสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยขึ้นนั้น
อาจารย์ได้เป็นผู้ชี้นำให้บรรจุวิชาการใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาบุคคลากรของคณะสงฆ์
และเอื้อประโยชน์ต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้พระนักศึกษาได้ศึกษาหลายวิชา
เช่น วิชาปรัชญา ตรรกวิทยา ศาสนาเปรียบเทียบ เป็นต้น
โดยบรรจุเป็นวิชาบังคับให้พระนักศึกษาได้ศึกษา ตั้งแต่เริ่มเปิดการศึกษา
ของสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นต้นมา
ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาใด ๆ ในประเทศไทยเปิดสอนวิชาเหล่านี้
สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยจึงได้ชื่อว่า เป็นผู้บุกเบิก
ในการเปิดสอนวิชาดังกล่าวเหล่านี้ในประเทศไทย
ต่อมาอีกเกือบ ๒ ทศวรรษ มหาวิทยาลัยของรัฐและสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ
จึงได้เริ่มเปิดสอนวิชาเหล่านี้ขึ้น และได้รับการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
ตั้งแต่ครั้งยังอยู่ในสมณเพศตลอดมา จนถึงเวลาที่ยังรับราชการอยู่
อาจารย์มักได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนหรือเป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปประชุมหรือดูงาน
ในด้านพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมในประเทศต่าง ๆ ทั้งในเอเซีย ยุโรป
และอเมริกา อยู่เสมอ
โดยลักษณะส่วนตัว อาจารย์เป็นผู้มีอัทธยาศัยอ่อนน้อม
ดำเนินชีวิตแบบสงบและเรียบง่าย มีเมตตากรุณาต่อทุกคน
ไม่เบื่อหน่ายในการที่จะให้คำแนะนำหรือปรึกษาในทางวิชาการแก่ศิษย์หรือผู้สนใจ
มีวาจาในเชิงสร้างสรรค์และส่งเสริมให้กำลังใจแก่ทุกคนที่มีโอกาสพบปะสนทนาด้วยเสมอ
อาจารย์จึงเป็นที่เคารพรักของบรรดาศิษย์และผู้รู้จักคุ้นเคยทั่วไปอย่างจริงจัง
อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ได้ถึงแก่มรณกรรม
ในวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ รวมอายุ ๘๓ ปี